ส่องเศรษฐกิจจีนเส้นเลือดใหญ่ของโลก ผ่านมุมมองนักวิชาการจีนศึกษา มธ. อักษรศรี พานิชสาส์น เชื่อมั่นปีนี้ฟื้นแน่ เติบโต 5% ผู้นำเตรียมอัดฉีดมาตรการกระตุ้น เรียกเชื่อมั่นผู้บริโภค แต่ต้องจับตาปัญหาไต้หวัน อเบอร์ดีน ชี้โอกาสการลงทุนตลาดหุ้น A-Share แนะ 5 ธีมลงทุนหุ้นพื้นฐานดี รับอานิสงส์การบริโภคในประเทศฟื้นตัว เน้นเติบโตอย่างยั่งยืน
เศรษฐกิจจีน เส้นเลือดใหญ่ของโลก แม้จะเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ แต่แนวโน้มการฟื้นตัวยังอยู่ในภาวะ “อึมครึม ซึมเซา” โดยจีดีพีไตรมาสแรกปี 2023 ขยายตัว 4.5% ขณะที่เดือนเมษายน ยอดค้าปลีกและดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมกลับลดลง ซึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น รองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญตลาดจีนยังมั่นใจว่าเศรษฐจีนจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้และมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 5%
รัฐบาลจีนเตรียมมาตรการอัดฉีด
ดร.อักษรศรี กล่าวในงานสัมนา “เจาะลึกจีน 360 องศา เปิดเคล็ดลับลงทุนจีนอย่างยั่งยืน” จัดโดย บลจ.อเบอร์ดีน ว่า รัฐบาลจีนนำโดย หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี เตรียมมาตรการอัดฉีดเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจจีนกลับมาคึกคัก และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน โดยล่าสุดรัฐบาลจีนได้ขอให้ธนาคารของรัฐลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ยังมีนโยบายกระตุ้นการจ้างงาน การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และจะทยอยประกาศมาตรการผ่อนคลายในภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
“เศรษฐกิจจีนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของโลก ที่กำลังฟื้นตัว แต่ต้องใช้เวลา นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน คาดว่าจะประกาศในการประชุมใหญ่เดือนกรกฎาคมนี้ และได้เริ่มไปบางแล้ว เช่น ให้ธนาคารขนาดใหญ่ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน จีนจะไม่แจกเงิน แต่จะใช้วิธีปล่อยน้ำเลี้ยงปลา เพื่อให้เศรษฐกิจค่อยๆ เติบโต ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ออกมากล่าวว่าเศรษฐกิจจีนเหมือนท้องทะเล แม้จะโดนพายุกระหน่ำเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำลายท้องทะเลได้” ดร.อักษรศรี กล่าว
นอกจากนี้ โมเดลเศรษฐกิจของสีจิ้นผิงจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะนโยบาย Dual Circulation ให้จีนลดพึ่งพาโลก และดึงให้โลกต้องพึ่งพาจีน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการบริโภคในประเทศ สร้างพลังของชนชั้นกลาง ซึ่งภายในระยะเวลา 10 ปี (2012 – 2021) จีนเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางเป็น 400 ล้านคน มีรายได้ต่อหัวเพิ่มจากประมาณ 6,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี ก่อนยุคสีจิ้นผิง มาเป็น 12,000 เหรียญฯ ต่อคนต่อปี และมีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางเป็น 800 ล้านคนในปี 2035 ซึ่งหมายถึงจีนจะต้องสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4.7% ต่อปี
นอกจากนี้ จีนยังเน้นลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็น Advance Technology ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย Data Driven Economy สร้างการเติบโตด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมาจีนมียอดส่งออกรถยนต์สูงกว่าญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก มีบริษัท CATL ที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์อันดับ 1 ของโลกที่มีส่วนแบ่งตลาด 32.5% เป็นต้น
และจีนยังเน้นการพึ่งพาตัวเองโดยการสร้างความมั่นคงใน 3 ด้าน ได้แก่ อาหาร สุขภาพ และพลังงาน ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้วจากการปิดประเทศ ตามมาตรการ Zero Covid
อย่างไรก็ตาม จีนมีปัจจัยที่ต้องกังวล โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหากรณีไต้หวัน ซึ่งสีจิ้นผิงได้ประกาศแล้วว่าให้จบที่รุ่นเรา การรวมชาติต้องเกิดขึ้นภายในปี 2035 และต้องไม่มีใครมาล้ำเส้นแดงนี้ กรณีดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว
“จีนมีปัญหาอีกมากที่รอการแก้ไข แต่ด้วยนโยบายการเมืองนำเศรษฐกิจ เชื่อว่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้ รวมทั้งความได้เปรียบของขนาดเศรษฐกิจจีน ที่ 140 ประเทศในโลกเป็นคู่ค้ากับจีน การขยายตัวของชนชั้นกลาง รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจจีนให้เติบโตไปได้อีก 10 – 20 ปีข้างหน้า” ดร.อักษรศรีระบุ
ชี้โอการลงทุนผ่าน 5 ธีมหลัก
โรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด (ประเทศไทย) หรือ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ด้วยศักยภาพและการเติบโตของจีน เป็นโอกาสอีกครั้งสำหรับนักลงทุนจัดสรรลงทุนตลาดหุ้นจีน A – Share กลับมาอยู่ในพอร์ตหลัก เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยิ่งทำให้ตลาดจีนมีความโดดเด่น
"บลจ.อเบอร์ดีน มองว่าตลาดหุ้น A-Shares น่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการบริโภคในประเทศจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าครึ่งปีหลังนี้ การบริโภคจะเป็นแรงส่งหลักหนุนเศรษฐกิจจีนให้เติบโต และที่สำคัญ Valuation หุ้นจีน A-Share ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ในตลาด A-Shares ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงมองเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเข้าลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพที่ราคาน่าดึงดูดใจและเป็นทางเลือกสำหรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน" โรเบิร์ตกล่าว
นิโคลัส โหย่ว (Nicholas Yeo) Head of Equities – China, abrdn group ผู้เชี่ยวชาญในตลาดจีนกว่า 20 ปี กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ต้องทำความเข้าใจว่า ร้อยละ 90 เป็นนักลงทุนรายย่อย และอีกร้อยละ 10 เป็นนักลงทุนต่างชาติ เพราะฉะนั้นการลงทุนต้องเข้าใจตลาดในประเทศเป็นอย่างดี
จากการศึกษาตลาดมาเป็นเวลานาน มองเห็นว่าการขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัวบางครั้งไม่มีเหตุผล และในความไม่มีเหตุผลนี้เอง อเบอร์ดีน เน้นนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการลงทุนที่เน้นเรื่องคุณภาพ ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของอเบอร์ดีน เพราะสุดท้ายหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีคุณภาพ จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย
สำหรับกองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า A Share ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCA) ที่จะเปิดขาย IPO วันที่ 6 – 16 มิถุนายนนี้ จะกระจายลงทุน 5 ธีมหลัก ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ได้แก่ ธีม Aspiration กลุ่มการบริโภคในประเทศ จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของคนจีนนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการบริโภคทั้งสินค้าและบริการในระดับพรีเมียม เช่น ภาคการท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม
รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 36.6% ธีม Digital ปัจจุบันการเชื่อมต่อดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการยอมรับด้านเทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย สะท้อนอนาคตที่สดใสของธุรกิจความปลอดภัยทางไซเบอร์ ธุรกิจคลาวด์ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และบ้านอัจฉริยะ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 16.3%
ธีม Green พลังงานสะอาด ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในผู้นำขับเคลื่อนทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียน การผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคต โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 11.4% ธีม Health เฮลท์แคร์ ด้วยแนวโน้มรายได้คนจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนมีกำลังซื้อและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงพยาบาลชั้นนำ ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อดูแลสุขภาพต่างๆ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 12.2% และธีม Wealth อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในจีนเติบโตขึ้น ทั้งการเติบโตเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่สำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค ธุรกิจบริการด้านการลงทุน และธุรกิจประกัน โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 15%
อ่านเพิ่มเติม: อีซูซุ ยืนยัน ไม่มีแผนย้ายฐานผลิตจากไทยไปอินโดนีเซีย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine