แม้ในปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่ไม่ดีนักของตลาดหุ้นทั่วโลกจากดัชนีในตลาดหลักที่ติดลบ เช่น Down Jones ติดลบไป 8.58% Nasdaq ลดลงมากถึง 33.03% ส่วน S&P500 ร่วงลงไป 19.24% Nikkei ลดลง 9.37% และ Hang Seng ลดลง 15.26% ด้านตลาดหุ้น Shanghai ดัชนีก็ลดลง 15.12% มีเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นบวก เช่น ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แต่หากมองในภาพรวม การลงทุนหุ้นโลกของปีที่ผ่านมาถือว่าให้ผลตอบแทนเป็นลบ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปีนี้มีความแตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยมุมมองของ ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) เชื่อมั่นในภาพของเศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้นมีแนวโน้มเป็นบวกและเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุน
“ความเสี่ยงในภาพใหญ่มองว่าเงินเฟ้อตอนนี้ไม่น่าจะมีประเด็นอะไร และคิดว่ากลางปีนี้เฟดน่าจะชะลอหรือหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนปัญหาเรื่องสถาบันการเงินยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตาดูต่อในปีนี้ แต่เท่าที่เห็นมาตรการของเฟดและธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ที่ออกมา action เร็วเรียกความเชื่อมั่นกลับมา และหากเข้าไปดูแบงก์ขนาดใหญ่ของฝั่งสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น J.P. Morgan, Bank of America หรือ Citibank ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขึ้น ทำให้คิดว่าปัญหานี้น่าจะจบ”
นอกจากนี้ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะมีวิธีการอัดฉีดหรือมาตรการช่วยชะลอภาวะเศรษฐกิจถดถอย (delay recession) ส่งผลให้ปัญหาล่าช้าหรือทำให้ไม่หนักมาก ซึ่งเมื่อภาพรวมไม่เกิดปัญหาหนัก ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะสามารถทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าธนาคารไม่มีปัญหาที่ซุกซ่อนไว้
“ภาพของตลาดปีที่แล้วกับปีนี้ต่างกัน ในปีที่แล้วเมื่อมีการประกาศเงินเฟ้อออกมาส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก ส่วนในปีนี้เกิดกรณีเรื่อง bank run หุ้นร่วง แต่ก็เด้งกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หรือไม่ลดลงหนักเช่นปีที่ผ่านมา โดยสะท้อนมุมมองของนักลงทุนทั่วไปที่คิดว่าตลาดร่วงลงไปมากแล้ว และมีของถูกเยอะ จึงเห็นการวิ่งกลับเข้ามา” ตราวุทธิ์ย้ำความเชื่อมั่นในมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น
นอกจากนั้นตลาดหุ้นในต่างประเทศยังมีแนวโน้มการฟื้นตัวแตกต่างกัน โดยสหรัฐอเมริกาคาดการณ์การฟื้นตัวได้ช้าจากปัญหาใหญ่ที่ผ่านมาและการขึ้นดอกเบี้ยจำนวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ยังมีความระมัดระวังในการลงทุน ซึ่งกลุ่มที่น่าจะกลับมาได้เร็ว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการดูแลสุขภาพ (health care)
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนในปีนี้คาดการณ์ดีกว่าฝั่งสหรัฐอเมริกา เพราะไม่มีประเด็นเรื่องเงินเฟ้อหรือวิกฤตการเงิน และขณะนี้กลับมาเปิดประเทศแล้ว ก็น่าจะค่อยๆ เติบโต พร้อมกับนโยบายที่ตั้งเป้าจีดีพีไว้เติบโต 5% เพราะฉะนั้นปีนี้จีนน่าจะมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเขามีเงินในมือเยอะ เพราะช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาใช้เงินน้อยกว่าถ้าเทียบกับฝั่งยุโรปหรืออเมริกา
“การมีรัฐบาลใหม่ แม้จะเป็นประธานาธิบดีคนเดิม แต่เชื่อว่าเขาจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ทุกคนมั่นใจ สบายใจ และมองในภาพใหม่ที่เป็น new era ของประเทศ จึงคิดว่าปีนี้จีนน่าจะ perform ได้ดีมาก พร้อมกับเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียที่จะกลับมา”
ส่วนทางฝั่งยุโรปต้องมองเป็นรายประเทศและรายกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งในภาพรวมยังฟื้นตัวไม่มาก เพราะยังถูกกดดันจากปัญหาสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่จบ ปัญหาเงินเฟ้อ รวมทั้งยุโรปไม่มีเศรษฐกิจใหม่ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้เหมือนสหรัฐอเมริกาและจีน
สำหรับไทย มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา และภาพการเป็นศูนย์กลางการผลิตของอุตสาหกรรมใหม่ที่ชัดเจนขึ้น เช่น การเป็นฐานการผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา โดยสะท้อนจากบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานหลายบริษัท
“การลงทุนควรกระจายไปทั้งอเมริกาและจีน เพราะเป็นสองประเทศใหญ่ เพียงแต่ปัจจุบันจีนอาจจะดูง่ายกว่า เพราะทั้งประเทศโต ส่วนอเมริกาเศรษฐกิจอิ่มตัวมากกว่า การเลือกควรเลือกเป็นเซกเตอร์ที่กำลังเติบโต ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นคิดว่ามีปัจจัยเสี่ยงเดียว คือ ปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
กรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น อันนี้ถือเป็นความเสี่ยงสูงสุด เพราะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่หากเป็นความขัดแย้งในรูปแบบที่เคยเป็นมาก่อน เช่น การกีดกันทางการค้า ก็จะส่งผลกระทบเป็นรายอุตสาหกรรมไป ส่วนเรื่องแบงก์ หรือเงินเฟ้อ ถือเป็นประเด็นที่คาดการณ์ได้”
เฟ้นธีมหุ้นกำลังเติบโต
สำหรับธีมหุ้นที่น่าสนใจ ซีอีโอของจิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า ที่เห็นชัดเจนคือกลุ่มพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์ความสนใจทั่วโลก และปัจจุบันยังมีราคาที่คนทั่วไปสามารถเอื้อมถึงได้ โดยความนิยมจากรถไฟฟ้ายังส่งผลให้กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และ AI เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจจะเติบโตตาม
“ส่วนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทรนด์เดิม อย่างกลุ่มซอฟต์เทค คิดว่ายังเติบโต เช่น คลาวด์ และฟินเทค เพราะสุดท้ายแล้วจะเกิดการเชื่อมโยงกับเทรนด์ของรถไฟฟ้า และ AI เปรียบได้กับ device และการประมวลผล ซึ่งสุดท้ายการประมวลผลก็ต้องไปใช้คลาวด์ และเมื่อคลาวด์ดีขึ้น บริการต่างๆ ก็จะไปขายพ่วงกับรถไฟฟ้าด้วย เช่น ฟินเทค เรื่องการจ่ายเงินก็ต้องเข้าไปพ่วงอยู่ด้วย โดยอาจจะไม่ได้ทำอะไรใหม่ แต่เขาจะเอาไป integrate กัน ซึ่งก็จะได้ฐานคนเยอะมากขึ้น เพราะฉะนั้นกลุ่มที่เป็น back bone ก็จะเติบโตกลับมาหมด”
นอกจากนั้นกลุ่ม genomics ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ จากข้อมูลขององค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ที่มีการอนุมัติจำนวนมากขึ้น และหลายบริษัทก็มีเทคโนโลยีที่นำมาทำเงินได้จริง รวมถึงงบการเงินของกลุ่มดังกล่าวยังสามารถสร้างรายได้ที่มีการเติบโตสูง
“จากผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 พบว่ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เติบโตขึ้นเยอะมาก ประมาณ 50-60% ส่วนคลาวด์และฟินเทครายได้โตอยู่ราวๆ 30-40% ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าเติบโตมาในระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้แม้จะไม่เติบโตแบบสูงๆ แล้วแต่ก็ยังโต แต่ genomics บางตัวพบว่าเติบโตสูงเป็น 100-200%
ดังนั้นจะเห็นภาพว่ากลุ่มไหนกำลังบูม ซึ่งก็คือกลุ่มที่รายได้กำลังเติบโตสูง แต่สำหรับคนที่ต้องการลงทุนแบบปลอดภัย ไม่ชอบเสี่ยง ควรเลือกอุตสาหกรรมที่พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ส่วนกลุ่ม genomics ถือว่ายังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าก็มีความเสี่ยง เพราะเรายังไม่รู้ว่าในที่สุดแล้วใครจะเป็นเบอร์หนึ่ง หรือบางแบรนด์อาจจะไปไม่รอด ก็ต้องดูให้ดี”
ขณะที่อุตสาหกรรมเดิม เช่น กลุ่มสร้างบ้านในสหรัฐฯ อาจไม่ใช่เมกะเทรนด์ แต่เติบโตสูงจากปัจจัยที่คนสหรัฐฯ เริ่มย้ายไปอยู่อาศัยนอกเมืองกันมากขึ้น กลุ่มซอฟต์แวร์ ที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิต ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น หรือตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ที่บ้าน เช่น การสั่งซื้ออาหารจากเดลิเวอรี เป็นต้น อีกกลุ่มคือท่องเที่ยว คนท่องเที่ยวเยอะขึ้น โรงแรมเริ่มเต็ม ผลประกอบการก็ออกมาดี รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ตอนนี้ก็กลับมาเติบโต
“มองในเชิง valuation บริษัทดีๆ ราคาเริ่มไม่แพงมาก ต้องบอกว่าถ้าเทียบกับก่อน COVID-19 ก็ถือว่าถูก แต่บอกไม่ได้ว่าถูกที่สุดหรือเปล่า ถ้าเข้าไปดูจะเห็นว่ากลุ่มพวกนี้ราคาจะไม่ตก ซึ่งจริงๆ ราคาก็ขึ้นมามากแล้ว เพราะปกติจะเป็นหุ้นนำตลาด
ขณะที่ภาพตลาดโดยรวมยังไม่ฟื้น หากไม่มีเรื่องแบงก์คิดว่าตลาดน่าจะขึ้นกว่านี้ เพราะมีหุ้นหลายตัวที่ valuation เริ่มถูก ดังนั้นตอนนี้มองว่าเป็นจุดที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มเข้าไปลงทุนกันแล้วและหาตัวที่ถูก”
ตราวุทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปกติ cycle ของตลาดหุ้นเมื่อตกลงมาแล้วปีนี้ก็อาจจะเริ่มขึ้น แต่หุ้นรายตัวกับอุตสาหกรรมที่เติบโตแข็งแกร่งจะวิ่งนำขึ้นก่อน และตลาดก็จะตามขึ้นไป ปีหน้าทุกคนอาจเห็นตรงกัน ทำให้วิ่งขึ้น และเป็นอีกปีที่จะขึ้นได้เยอะ
ภายใต้เงื่อนไขว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใด สำหรับคำแนะนำนักลงทุนที่เน้นลงทุนหุ้นคุณค่า (VI) ควรทำงานให้หนักในการคัดเลือกหุ้นรายตัว ส่วนนักลงทุนที่สนใจเริ่มต้นลงทุนในช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากความเสี่ยงจะต่ำกว่านักลงทุนก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าซื้อหุ้นช่วงที่ราคาแพงแล้ว
อย่างไรก็ตาม การจะเป็นนักลงทุนสาย VI ต้องเลือกหนังสือเล่มที่ถูกต้องมาอ่าน หมายถึงการเลือกครูคนแรกเพื่อคิดว่าจะลงทุนแบบไหน เพราะบางครั้งคิดว่าเลือกหุ้นถูกแล้ว ซึ่งเวลาตลาดขาขึ้นการจะใช้วิธีไหนก็มีโอกาสทำกำไรได้หมด แต่หลังจากขึ้นไปแล้ว หากเลือกหุ้นถูกก็ไปต่อได้ แต่หากเลือกผิดก็อาจพลาดได้จากการที่ราคาหุ้นตกลงมาเร็ว ดังนั้นคงต้องทำการบ้านให้หนัก
“ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของหลายคนได้ เพราะว่าหุ้นดีๆ มีที่ราคาถูกอยู่ เพราะฉะนั้นพยายามหาให้เจอ ช่วงที่หุ้นจะกลับเป็นขาขึ้นมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างหุ้นพื้นฐานดีราคาขึ้น กับหุ้นพื้นฐานแย่ราคาขึ้น กรณีพื้นฐานแย่อาจจะถือกำไรไปได้ 6 เดือนแรก ราคาก็จะตกกลับมาที่เดิม
แต่ถ้าลงทุนในหุ้นดี อุตสาหกรรมดีที่เป็นเมกะเทรนด์ จะทำให้โตไปได้ต่อเนื่อง และควรมองในภาพกว้าง คือไม่ได้อยู่แค่ที่ประเทศไทย ต้องไม่ยึดติดกับประเทศ แต่ควรมองว่าตอนนี้เราลงทุนได้ทั่วโลก ให้ยึดติดกับบริษัทที่ดี และเมื่อการลงทุนมีหลักการที่ถูก คุณจะได้กำไรมากกว่าขาดทุน”
เรื่อง: วิไล อักขระสมชีพ ภาพ: สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
อ่านเพิ่มเติม: "เศรษฐกิจโลก" ระยะยาว มีแนวโน้มเติบโตดี แนะกลยุทธ์กระจายการลงทุน-เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด