"Sukamal Mondal" เดินหน้า "อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ" สร้างชื่อโรงแรมแห่งการจัดประชุม - Forbes Thailand

"Sukamal Mondal" เดินหน้า "อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ" สร้างชื่อโรงแรมแห่งการจัดประชุม

เป็นเวลากว่า 29 ปีที่ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ เปิดให้บริการบนถนนเพชรบุรี ทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสีสันของการใช้ชีวิต และหลังโรคระบาดที่ผ่านพ้น โรงแรมแห่งนี้พร้อมในการเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง


เป็นเวลากว่า 29 ปีที่ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ เปิดให้บริการบนถนนเพชรบุรี ทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสีสันของการใช้ชีวิต และหลังโรคระบาดที่ผ่านพ้น โรงแรมแห่งนี้พร้อมในการเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง หลังปิดทำการเพื่อรีโนเวทห้องพักและการออกแบบภายในโรงแรมใหม่ในธีม “Contemporary Thainess” พร้อมนำจุดแข็งด้านการจัดการประชุมในตลาด MICE จับกลุ่มตลาดผู้ประชุมภายในประเทศให้เป็นที่รู้จักภายใต้แนวคิดความคุ้มค่า และเดินหน้าส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนภายในองค์กร ผลักดันสินค้าจากผลิตภัณฑ์และผลิตท้องถิ่น พร้อมปลุกจิตสำนึกคนในองค์กรด้านความยั่งยืน

    “เราปิดโรงแรมเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งในช่วงปิดประเทศเพื่อทำการปรับปรุงการตกแต่งในหลายๆ ส่วนของโรงแรม” Sukamal Mondal Area General Manager, Amari Watergate Bangkok เผยระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่ Executive Lounge ชั้น 32 ภายในบริเวณห้องรองรับลูกค้าพรีเมียม สถานที่ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นร้านอาหารในสไลต์ยุโรป ขณะที่ Executive Lounge แห่งนี้ได้ย้ายไปอยู่บริเวณชั้น 9 ของโรงแรมในชื่อใหม่ "Club SiRaa" ที่ให้บริการระดับพรีเมียม

    ขณะที่ เมษายน 2565 อมารี วอเตอร์เกทฯ ได้เปิดให้บริการ Prego Bangkok ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนแบบดั้งเดิมภายใต้การดูแลของเชฟ Marco Boscaini แห่ง Prego Samui มาเปิดที่บริเวณทางเข้าด้านหน้าของโรงแรม


   

    การเพิ่มบริการร้านอาหารในสไตล์ยุโรปส่วนหนึ่งเป็นการตอบโจทย์การให้บริการเข้าพักกับนักท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์จากทวีปยุโรปที่ชอบใช้เวลาภายในโรงแรมเป็นหลักให้มากขึ้นซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์จากกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

    อมารี วอเตอร์เกทฯ ถือเป็นหนึ่งโรงแรมที่พักและยังเป็นสถานที่จัดประชุมซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มไมซ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวไมซ์ที่มาจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

    โดยจุดแข็งนี้มาจากปัจจัยความแข็งแกร่งของทีมขายและทีมมาร์เก็ตติ้งจาก ONYX Hospitality Group และรวมไปถึงจุดแข็งด้านโลเกชันของโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบชาวเอเชียที่ชอบใช้ชีวิตนอกตัวโรงแรม เดินชมสีสันของเมือง ชิมรสชาติอาหารสตรีทฟู้ด ซึ่งย่านประตูน้ำถือเป็นใจกลางเมืองหลวงที่ล้อมรอบไปด้วยวิถีชีวิตมากมายไม่ว่าจะเป็นห้างหรู หรืออาหารริมถนนก็ตาม

    “อมารี วอเตอร์เกทฯ เป็นที่นิยมในการเดินทางมาประชุมจากประเทศในกลุ่มอาเซียนซึ่งเป็นจุดแข็งของเราและเรากำลังมองหาตลาดนักท่องเที่ยวไมซ์จากภูมิภาคอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้เราอยากจะเห็นสัดส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวไมซ์จากอาเซียนกับประเทศอื่นๆ ที่สัดส่วน 50 ต่อ 50 จากเดิมที่สัดส่วนของกลุ่มนักท่องเที่ยวไมซ์จากอาเซียนอยู่ที่ราวร้อยละเจ็บสิบ” Sukamal กล่าว

    จากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นทำให้การเดินทางท่องเที่ยวและการเดินเพื่อการประชุมเป็นศูนย์ ส่งผลกระทบกับธุรกิจและคนอุตสาหกรรมโรงแรมเป็นอย่างมาก อมารี วอเตอร์เกทฯ จึงได้ปิดตัวเป็นเวลาราว 1 ปีครึ่ง แต่เพื่อความอยู่รอดในช่วงโควิด ทีมบริหารได้สร้างแพ็กเกจการเข้าพัก อาทิ การ Staycation หรือ Dinecation โดยเปิดให้บริการเพียง 200 ห้อง ใน 7-8 ชั้น ซึ่ง Sukamal กล่าวว่า “ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี” และยังทำให้เขาได้เห็นศักยภาพของตลาดภายในประเทศ


 

   การรีโนเวตโรงแรมครั้งใหญ่ในรอบ 29 ปี นี้ ภายใต้ธีม “Contemporary Thainess” เป็นแก่นในการออกแบบที่สอดแทรกความเป็นไทยในทุกรายละเอียด ตั้งแต่โถงทางเข้า ยกระดับภายในห้องพักออกแบบและตกแต่งอย่างทันสมัยและพรีเมียมจำนวน 202 ห้อง ขณะที่ห้องประชุมกว่า 26 ห้อง ได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด

    อมารี วอเตอร์เกทฯ มีห้องประชุมมากถึงทั้ง 26 ห้อง สามารถรองรับการประชุมได้ถึง 1,000 คน ห้องจัดงานบอลรูมของโรงแรมมีขนาด 9,900 ตร.ม. ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของห้องสามารถจัดโต๊ะประชุมหรือรองรับงานกาล่าดินเนอร์ได้มากราว 700-900 คน


  

    การออกแบบของโรงแรมที่มีแสงสว่างเข้ามาภายในตัวอาคารมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นอีกจุดเด่นสำคัญที่ผู้จัดการงานอีเวนต์ให้ความสำคัญเพราะสามารถสร้างสรรค์งานอีเวนต์ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งปริมาณแสงสว่างที่เข้ามาในตัวอาคารยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ที่ต้องมีแสงจากธรรมชาติส่องเข้ามามากกว่าร้อยละ 80

    ในขณะที่ห้องจัดประชุม 26 ห้อง มีห้องที่มีเสาเพียง 6 ห้องเท่านั้น ซึ่งห้องประชุมที่ไม่มีเสาถือเป็นจุดเด่นสำหรับผู้จัดงานประชุมหรืออีเวนต์ต่างๆ ให้สามารถสร้างงานที่หลากหลาย และจุดเด่นที่สำคัญอีกสิ่งคือการออกแบบระหว่างตัวโรงแรมกับอาคารจอดรถที่สามารถเดินถึงห้องจัดประชุมได้โดยตรง

    “โครงสร้างของโรงแรมอมารีที่สร้างตั้งแต่เมื่อ 29 ปีก่อนได้ออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกที่สมัยนั้นนิยมเดินทางมายังโรงแรมด้วยรถยนต์ อาคารจอดรถจึงเชื่อมเข้ากับตัวอาคารและสามารถเดินตรงสู่ห้องประชุมได้อย่างง่ายดาย” Sukamal กล่าวและเสริมว่า

    “ความเป็นไทยไม่เคยตกเทรนด์ เรารีโนเวตห้องบอลรูมแห่งนี้ให้เป็นนิวเทรนด์ของความเป็นไทย วิชั่นใหม่ของอมารี วอเตอร์เกทฯ คือการสร้างให้เป็นโรงแรมที่นอกจากเดินทางมาพักผ่อนยังสามารถเดินทางเพื่อการประชุม

    ทุกโรงแรมต้องการสร้าง residential meeting แต่ที่ อมารี วอเตอร์เกทฯ เราต้องการความต่าง เราต้องการสร้างให้โรงแรมเป็นที่ต้องการของคนไทยในการเดินทางมาเพื่อจัดประชุม ผมอยู่เมืองไทยมายาวนาน การได้ส่งเสริมให้คนไทยจัดประชุมในเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้ามและเราไม่ควรมองข้ามนักท่องเที่ยวและนักท่องกลุ่มไมซ์คนไทย”

    นอกจากการจัดงานประชุมแล้ว Sukamal ยังมองหาตลาดกลุ่มการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ ทั้งจากภาครัฐหรือองค์กรเอกชน การจัดงานประชุมของมหาวิทยาลัยหรืองานอีเวนต์ด้านการตลาดรวมไปถึงงานสังคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน

    “ความต้องการการประชุมของคนในประเทศยังมีอีกมาก พวกเขาไม่ต้องการจัดงานในโรงแรมที่มีชื่อเสียงแต่เขาต้องการสถานที่จัดงานที่ตอบโจทย์ซึ่ง อมารี วอเตอร์เกทฯ เราเป็นโรงแรมที่คุ้มค่าแต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นโรงแรมราคาประหยัด ซึ่งราคาของเราก็ไม่ได้ถูก แต่เราจะส่งมอบความคุ้มค่ากลับไปกับผู้ที่ต้องการจัดงาน หากเทียบกับโรงแรมใกล้เคียง”


เดินหน้าสร้างความยั่งยืน


    นอกจากการรีโนเวทครั้งใหญ่ อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ ยังได้ริเริ่มความยั่งยืนเพื่อคำนึงถึงชีวิตของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต ทุกโครงการด้านความยั่งยืนจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกพื้นที่ของโรงแรมและกิจกรรมต่างๆ จะสอดแทรกเรื่องความยั่งยืนเข้าไปเพื่อให้มีพนักงานทุกส่วนได้มีส่วนร่วมและสร้างจิตสำนึก ไม่ว่าจะเป็นการนำพื้นที่กลางแจ้งเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกสวนครัวขนาดย่อมเพื่อนำผลผลิตที่ปลูกแบบไร้สารพิษมาใช้ภายใน การเพิ่มจุดสำหรับชาร์ตรถยนต์อีวี หรือการดึงหมอนวดที่เป็นผู้พิการทางสายตามานวดผ่อนคลายพนักงานในโรงแรม


    พร้อมๆ ไปกับเปิดตัวโครงการด้านความยั่งยืนภายใต้ 5 แนวทางเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้คนในองค์กร ได้แก่ “Sustainably Concious” สู่วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ เราได้ริเริ่มสิ่งนี้โดยคำนึงถึงชีวิตของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

    “Sustainably Dining” โดยนำความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายในท้องถิ่นต่างๆ ในการนำวัตถุดิบในการทำอาหารที่สดใหม่และออร์แกนิก ทั้งยังร่วมมือกับ SOS (Scholar of Sustenance) ในการนำขยะและสิ่งที่เหลือใช้จากบริการและกิจกรรมของโรงแรมให้กับพื้นที่ต่างๆ

    “Sustainably Meeting” ที่จัดการประชุมด้วยคำนึงสิ่งแวดล้อมอย่างการงดใช้ผ้าปูโต๊ะ, งดการใช้ขวดพลาสติก, ลดการใช้กระดาษและงานพิมพ์

    “Sustainably Stay” โรงแรมจะมอบเงินเครดิต 100 บาท คืนแก่ผู้เข้าพักเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการใช้งานผ้าเช็ดตัวรวมถึงบริการในการทำความสะอาดในห้องพักระหว่างการเข้าพัก โดยภายในห้องพักยังได้ลดการนำวัสดุที่สร้างพลาสติกมาใช้และเลือกใช้วัสดุที่มีจากธรรมชาติแทน

    ”Sustainably People” เป็นโครงการในการให้โอกาสกับนักศึกษาเข้ามาฝึกงานในส่วนงานต่างๆ โดยอมารี ร่วมกับ Pimali มูลนิธิสำหรับเยาวชนที่ด้อยโอกาสซึ่งภายหลังการจับมือร่วมกันยังได้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมโรงแรมที่ออกนอกระบบไปอันเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา

    ก่อนสถานการณ์โควิด-19 พนักงานของอมารีอยู่ที่ราว 200-400 คน โดยมีทีมบริหารอยู่ที่ราว 10 คน และในฐานะเป็นทีมผู้บริหารเองต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นการยืดหยุ่นในการเดินทางเพื่อเข้ามาทำงานหรือปรับโหมดการประชุมผ่านออนไลน์

    โดยหนึ่งในโจทย์ยากของเขาและรวมถึงอุตสาหกรรมบริการคือเรื่องการขาดแคลนของแรงงาน หลังจากโควิดพนักงานกลุ่มอยู่กับเราราว 180 คน เป็นสัดส่วนระหว่างกลุ่มเดิมกับกลุ่มใหม่ราว 50 เปอร์เซ็นต์

    “สิ่งที่เป็นความท้าทายหลังโควิดที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือการบริหารงานที่เกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลเพราะช่วงโควิด พนักงานออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปค่อนข้างเยอะและอัตราค่าจ้างก็เพิ่มสูงขึ้น โดยพนักงานราว 70 เปอร์เซ็นต์ไม่กลับมาทำงานบริการอีก พวกเขาไปหางานที่ยึดหยุ่นกับชีวิตหรือย้ายกลับไปยังภูมิลำเนาที่ตอบโจทย์ความคิดของพวกเขา

    ขณะที่ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานไม่ต้องการทำงานครบแปดชั่วโมงต่อวัน ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนการสรรหาคนให้เข้ากับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงเราจะหาคนเข้ามาร่วมงานด้วยยาก” Sukamal กล่าวถึงปัญหาในการบริหารงานบุคคลากรที่เกิดขึ้น


    สำหรับภาพรวมการแข่งขันของตลาดโรงแรมในประเทศไทย Sukamal แสดงความคิดเห็นว่ากลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีสถานะทางการเงินเข้มแข็งจะสามารถกลับมาเปิดโรงแรมด้วยความรวดเร็ว ซึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ภายหลังการเปิดประเทศ อมารี วอเตอร์เกทฯ สามารถกลับเปิดให้บริการได้ทันท่วงทีภายใต้การปรับโฉมใหม่

    “กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่สุดพิเศษไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางเมือง น้ำท่วมใหญ่ หรือล่าสุดอย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อสถานการณ์เหล่านี้หมดไป นักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาในทันที”

    นอกจากนี้ตำแหน่ง ​Area General Manager ที่ อมารี วอเตอร์เกทฯ แล้ว เขายังทำหน้าที่บริหารการตลาดและการเงินของโรงแรม 7 แห่งในเครืออมารี โดยดูภาพรวมด้านการตลาดและการเงิน Sukamal เปิดเผยว่าเขาเป็นนักบริหารที่ลงรายละเอียดในการทำงาน ซึ่งการที่จะลงไปทุกรายละเอียดได้นั้น เขาเผยว่าต้องเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งเรากำลังทำอย่างแท้จริงก่อนถึงจะสามารถถ่ายทอดและมอบแนวทางการทำงานให้กับทีมบริหารให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน

    สำหรับหลักการบริหารของทีมบริหารเขากล่าวว่าถ้าทีมทำงานผิดพลาดเท่ากับผมทำงานผิดพลาด และผมไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด ถ้าภาพรวมการบริหารดูไม่ดี ผมจะลงไปช่วยเหลือ “ซึ่งจากประสบการณ์ทำงาน ผมได้เรียนรู้ว่าความสมบูรณ์แบบไม่ใช่ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ ถ้ายึดติดอยู่กับความสมบูรณ์แบบเราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้” Sukamal Mondal กล่าวทิ้งท้าย


อ่านเพิ่มเติม: “เซ็นทารา” ลุยลงทุน 1.5 หมื่นล้าน เปิดโรงแรมใหม่คู่แผนเติบโตยั่งยืน


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine