ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับทุกองค์กร ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจอสังหาฯ เมืองไทย ถึงเวลาต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน เพื่อก้าวไปสู่การเป็น Thinking Company ภายใต้การนำของ “ปิยะ ประยงค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คนปัจจุบัน
Forbes Thailand มีนัดพูดคุยกับ ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท ถึงทิศทางของธุรกิจหลังจากนี้ รวมถึงการปรับตัวในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา จนนำมาสู่การปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของพฤกษา จากการเป็น Operation Company มาสู่การเป็น Thinking Company เพื่อจะนำองค์กรแห่งนี้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต “ผมมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการ จึงเลือกทำงานกับบริษัทเล็ก เพราะอยากเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งตอนนั้นสำนักงานของพฤกษาเป็นเพียงตึกแถว มีพนักงานเพียง 10 กว่าคน” ปิยะ เล่าย้อนอดีตในวันแรกที่เริ่มทำงานกับพฤกษา ด้วยวัยเพียง 19 ปี และวันนี้ในวัย 50 ปี เขาพร้อมนำองค์กรก้าวไปสู่ทิศทางใหม่อีกครั้ง ปิยะ เริ่มทำงานกับพฤกษาในตำแหน่งวิศวกร พร้อมปลุกปั้นบ้านจัดสรรโครงการแรก คือ พฤกษา 1 ที่รังสิตคลอง 8 ซึ่งถือเป็นโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาถูกที่สุดในตลาดขณะนั้น โดยขายทาวน์เฮาส์ ในราคาเพียง 200,000 บาท เป็นการใช้โมเดลสร้างบ้านสำเร็จรูปครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้พฤกษาฯ มีต้นทุนค่าก่อสร้างต่ำที่สุดในประเทศ ด้วยโมเดลดังกล่าว โครงการบ้านจัดสรรของพฤกษาขยายตัวอย่างรวดเร็วตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี จนก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ขณะที่ ปิยะ ไต่เต้าในเส้นทางการทำงานที่พฤกษาจากวิศวกรภาคสนาม จนขึ้นเป็นระดับบริหารในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายก่อสร้างโครงการ ภายในระยะเวลา 10 ปี ด้วยวัยเพียง 26 ปี จากนั้นบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ได้ก้าวเป็นบริษัทมหาชน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้ามุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งขนาดธุรกิจและการสร้างรายได้ ถึงจุดเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ “การสร้างบ้านด้วยเทคโนโลยีสำเร็จรูปของพฤกษา ถือเป็นการปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งหนึ่งเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ถือเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาดิสรัปต์วงการ ด้วยการก่อสร้างที่ใช้ต้นทุนถูกที่สุดในประเทศ ดำเนินธุรกิจด้วยเงินสด ทำให้เราขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา บิสิเนส โมเดล แบบเดิมเริ่มมีปัญหา เราจึงต้องเปลี่ยน” ปิยะ เล่าถึงจุดเปลี่ยนของวงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค การขยายตัวของธุรกิจ รวมทั้งผู้เล่นรายใหม่ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมไม่สอดรับกับสถานการณ์ พฤกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจอีกครั้ง ด้วยการก้าวข้ามจากการเป็น Operation company มีโรงงานพรีคาสท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มาสู่การเป็น Thinking Company ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ลดขนาดโครงการลงทุนให้เหมาะสม และมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ปิยะ กล่าวว่า การเปลี่ยนบิสิเนส โมเดลใหม่ครั้งนี้ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ หันมาโฟกัสที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องขยายการลงทุนก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัทต้องแบกต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ย ที่ผ่านมาบริษัทมีต้นทุนทรัพย์สินประมาณ 5–6 หมื่นล้านบาทต่อปี มีเป้าหมายจะลดขนาดโครงการลงทุนให้เหลือประมาณ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี และมุ่งเพิ่มยอดขายต่อโครงการให้มากขึ้น พร้อมปรับลดทีมผู้รับเหมาให้สอดคล้องกับการก่อสร้าง และเน้นขยายพันธมิตรให้มากขึ้น “ที่ผ่านมา พฤกษามุ่งขยายโครงการจำนวนมาก ปีละ 70–80 โครงการ แต่ปี 2563 ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจ และผลกระทบจากโควิด-19 มีการเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 13 โครงการ และมุ่งบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มี เพื่อเคลียร์สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้จบ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในปี 2565 ระหว่างนี้ถือเป็นโอกาสของลูกค้าที่ต้องการมีบ้านจะได้ของดี ราคาถูก” ปิยะกล่าว พฤกษาคิกออฟแผนปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ และให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ตั้งแต่ปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ผ่านฮีโร่โปรเจ็ค พร้อมจัดแคมเปญต่อเนื่องในปีนี้ด้วย “PRUKSA FREE FEST มหกรรมแจกฟรี” ถือเป็นแคมเปญที่ดีที่สุดสำหรับคนซื้อบ้านที่สามารถเลือกรับสิทธิพิเศษ อยู่ฟรี หรือ ดอกเบี้ยฟรี หรือ ส่วนกลางฟรี ตลอดระยะเวลา 36 เดือน เมื่อจองทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวและคอนโดของพฤกษาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคมนี้ ก้าวสู่ Year of Value สำหรับปี 2564 ปิยะ วางยุทธศาสตร์ให้เป็น Year of Value ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยมุ่งสร้างคุณค่าให้กับ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน และองค์กร ในด้านลูกค้า อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ปีนี้จะเป็นปีที่ลูกค้าของพฤกษา จะได้มีบ้านในราคาคุ้มค่า และมีโปรโมชั่นดีที่สุด ขณะเดียวกันในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อจากนี้ไปจะมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการมีพื้นที่ ฟังก์ชันการใช้งานที่สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ โดยจะมีการพัฒนาโครงการใหม่ประมาณ 30 โครงการ บริษัท กำหนดแนวทางสร้างคุณค่าให้ลูกค้า 8 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ทำเล ฟังก์ชัน การออกแบบ ความยืดหยุ่น สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย บริการ และการสร้างแบรนด์ โดยแต่ละโครงการจะต้องสอดรับกันระหว่างความต้องการและที่อยู่อาศัย ในขณะที่ราคาจะเป็นสิ่งกำหนดความคุ้มค่า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการวางแผนรองรับอนาคต บริษัทได้ลงทุนร่วมกับเครื่องโรงพยาบาลวิมุต เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ ประกอบด้วยคลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน ให้กับลูกบ้านของพฤกษา รวมทั้งพัฒนาโครงการที่จะตอบสนองความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงวัย “การร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุต ถือเป็นตัวอย่างของคุณค่า ที่บริษัทต้องการสร้างให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันก็สร้างคุณค่าการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืนในอนาคต” ปิยะกล่าว ในด้านพนักงาน และองค์กร ปีนี้จะถือเป็นปีที่ดีสำหรับพฤกษา ด้านการเติบโตบริษัทวางเป้าหมายเติบโตจากปีก่อนร้อยละ 50 หรือมีรายได้ 3.2 พันล้านบาท และแน่นอนบริษัทจะตอบแทนคุณค่าให้กับพนักงานด้วยโบนัส ซึ่งถือเป็นขวัญ และกำลังใจ ให้พนักงานมุ่งสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและองค์กรต่อไป นี่คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ในการปรับตัวของผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ภายใต้การนำของ ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท ที่ยึดมั่นในหลักพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต และการบริหารงาน รวมทั้งใช้การวิ่งออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย เพื่อมุ่งสร้างคุณค่าให้องค์กรต่อไป ภาพ: พฤกษาฯ for ForbesThailandไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine