รีพับลิกันหลงลืมวิชาหั่นภาษี 101 - Forbes Thailand

รีพับลิกันหลงลืมวิชาหั่นภาษี 101

สองสิ่งไม่ธรรมดาเห็นได้ชัดว่าหายไปจากการบังคับใช้ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีอันซับซ้อนและยืดเยื้อของพรรครีพับลิกัน สิ่งหนึ่งค่อนข้างพิศวงหน่อย แต่สำคัญอย่างแท้จริงต่อนโยบายภาษีที่มีประสิทธิภาพ และอีกสิ่งนั้นน่าประหลาดใจเมื่อดูจากที่สมาชิกรีพับลิกันต่างคุยฟุ้งถึงความสำคัญของการลงทุน และความจำเป็นที่กล่าวอ้างไว้สำหรับ 'การชดเชยรายได้' จากการหั่นภาษีส่วนใหญ่

• อัตราภาษีส่วนเพิ่ม นี่เป็นอัตราภาษีที่คุณต้องจ่ายสำหรับรายได้ถัดไป หรือรายได้ที่ “เพิ่มเติม” ขึ้นมา Ronald Reagan, John Kennedy, Jack Kemp และนักหั่นภาษีผู้ชาญฉลาดอื่นๆ ในอดีตต่างรู้ซึ้งถึงความจริงสำคัญนี้ว่า อัตราภาษีส่วนเพิ่มคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไปและธุรกิจต่างๆ ในการตัดสินใจว่าจะทำงานหาเงินเพิ่มหรือลงทุนที่ไหนหรือไม่ ลองมาดูตัวอย่างสุดโต่งที่บ่งชี้ประเด็นนี้กัน สมมติว่าบางคนทำงานได้เงิน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ และเสียภาษี 10% หากเธอทำงานหนักขึ้น เธอสามารถเพิ่มรายได้นั้นเป็น 60,000 เหรียญ อย่างไรก็ตาม ถ้าเงินที่เพิ่มมา 10,000 เหรียญจะต้องเสียภาษีที่ 98% แทนที่จะเป็น 10% บุคคลนั้นจะยอมละทิ้งรายได้พิเศษไปหรือไม่ก็ปรึกษาทนายด้านภาษีหรือนักบัญชีเพื่อหาทางปกปิดมัน เช่นเดียวกับภาคธุรกิจ การลงทุนมีความเสี่ยงมากพอแล้ว แต่หากผลกำไรพิเศษใดก็ตามจะต้องเสียภาษีสูงลิบลิ่ว บริษัทอาจจะไม่ลงทุนขยายกิจการ และจะโยกย้ายเงินไปยังเขตการปกครองที่ไม่ต้องเสียภาษีแทนการคืนภาษีมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการขยายเศรษฐกิจ เพราะนั่นไม่เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีส่วนเพิ่ม การลดอัตราภาษีส่วนเพิ่มต่างหากที่จะมีผลเช่นเดียวกับความหมกมุ่นในขณะนี้ของพรรครีพับลิกันเรื่องการขยายเครดิตภาษีสำหรับเด็ก เพื่อแสดงให้เห็นว่าทางพรรครักครอบครัวชนชั้นกลางและคนรายได้น้อยมากเพียงใด ผู้ปกครอง 1 คนหรือหลายคนจะจ่ายภาษีลดลง แต่อัตราภาษีส่วนเพิ่มของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไป (เครดิตภาษีดังกล่าว “ขอคืนเงิน” ได้บางส่วน ซึ่งหมายความว่าทางครอบครัวอาจได้เงิน แม้ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ก็ตาม) ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกันอันซบเซา ทั้ง John Kennedy และ Ronald Reagan หั่นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากระดับบนจนถึงระดับล่าง การลดภาษีดังกล่าวไม่ได้ผูกพันกับการลดการใช้จ่ายหรือการขจัด หรือการเรียกคืนเงินจากการลดหย่อนภาษี (สำหรับร่างกฎหมายภาษีใหญ่ครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นหลังร่างแรก 5 ปี Reagan กำจัดการหลบเลี่ยงภาษีจำนวนมากทิ้ง แต่เรื่องอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถูกล้มพับไป) แนวทางดังกล่าวตรงข้ามกับสิ่งที่รีพับลิกันทำครั้งนี้กับเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รีพับลิกันตัดหรือหั่นการลดหย่อนภาษีมากมายแต่ไม่ได้ปรับลดอัตราภาษี ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับผู้มีรายได้สูงบางราย บุคคลที่จัดแบ่งเงินเก็บจำเป็นไว้ไม่เท่ากันสำหรับการลงทุนซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตนั้น อัตราภาษีส่วนเพิ่มจะปรับตัวขึ้นต่างจากความพยายามของ JFK และ Reagan งานของรีพับลิกันในเรื่องภาษีบุคคลธรรมดาช่างน่าอนาถใจ แทบไม่มีผลอะไรเลยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เคยมีครั้งไหนในรอบหลายปีแห่งประวัติศาสตร์ การปรับลดภาษี ที่ใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ได้ผลเพียงน้อยนิด รีพับลิกันควรจะออกกฎหมายลดอัตราภาษี 10% สำหรับทุกคน ในการสร้างความมั่นใจว่าคนทำงานทั้งหมดจะได้รับเงินค่าจ้างสูงขึ้น รีพับลิกันควรทำสิ่งที่เคยทำเมื่อปี 2011-2012 และยกเลิกภาษีค่าจ้างส่วนกลางสองจุดแรก • กำไรส่วนทุน นี่เป็นตัวสร้างความตะลึงจริงๆ สำหรับพรรคซึ่งควรจะเป็นแชมป์แห่งการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่มีสักครั้งเลยตลอดเวลาช่วงหลายเดือนแห่งการรวมร่างกฎหมายหั่นภาษี ที่แนวคิดลดภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง การหั่นภาษีส่วนนี้เป็นการทำหนึ่งแต่ได้ถึงสองอันทรงพลังคือรายได้มักจะเพิ่มขึ้นอย่างทันที และการลงทุนที่มีประสิทธิผลได้รับการกระตุ้น เงินที่เพิ่มขึ้นทันทีนี้อาจใช้ “เติมเงิน” ในการลดภาษีเพิ่มเติม แล้วมีอะไรไม่น่าพอใจล่ะ เห็นได้ชัดว่ารีพับลิกันเหมือนสิงโตขี้ขลาดที่กลัวว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ จะเปิดช่องให้โดนข้อหาว่าเอาใจ “คนรวย” เอาล่ะ รีพับลิกันควรเรียนรู้มาตั้งนานแล้วว่าเดโมแครตจะขว้างข้อกล่าวหาปลอมนี้มาอยู่ดีไม่ว่าอย่างไรก็ตามถึงกระนั้น รีพับลิกันถือว่าโชคดี เศรษฐกิจกำลังเร่งเกียร์ขึ้นแค่จากความจริงที่ว่า วอชิงตันไม่ได้คิดค้นแผนการรายวันถึงหนทางใหม่ๆ ในการขัดขวางธุรกิจ แตกต่างจากช่วงหลายปีของ Obama มาตรการผลักดันการผ่อนคลายกฎระเบียบของประธานาธิบดี Trump กำลังออกผล และข้อดีของการเฆี่ยนอัตราภาษีนิติบุคคล และการหั่นภาษีอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจความเป็นหุ้นส่วนและอื่นๆ ที่เรียกว่าpass-throughs (ซึ่งผลกำไรส่งผ่านโดยตรงไปยังเจ้าของแต่ละรายในสถานะรายได้ส่วนบุคคล) จะเอาชนะจุดอ่อนอันเลวร้ายอื่นๆ หลายครั้งจากสิ่งที่รีพับลิกันหว่านเอาไว้
STEVES FORBES,EDITOR-IN-CHIEF
  เรียบเรียง: ชูแอตต์
คลิกอ่านบทความด้านการลงทุนและการบริหารธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine