การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสและความเสี่ยงต่อกลุ่มยูโรโซน - Forbes Thailand

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสและความเสี่ยงต่อกลุ่มยูโรโซน

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในรอบแรกก็ได้ผ่านไปแล้วซึ่งผลออกมาตามการคาดการณ์ของตลาด โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ได้ผู้สมัครที่มีคะแนนเยอะที่สุดสองอันดับแรกได้แก่ Emmanuel Macron, ผู้สมัครอิสระที่มีมุมมองแบบ centrist, และ Marine Le Pen, ผู้สมัครจากพรรค National Front ที่เป็นฝั่ง far-right nationalist และมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพและสหภาพยุโรป

โดย Macron มีคะแนนโหวตราว 24% ขณะที่ Le Pen ได้คะแนนที่ 21.3% ทั้งนี้ ผู้สมัครทั้งสองจะต้องเข้าไปตัดสินในการโหวตรอบที่ 2 อีกทีในวันที 7 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะต้องมีผู้สมัครที่ได้คะแนนมากกว่า 50% ขึ้นไปถึงจะได้ประธานาธิบดีคนต่อไป ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสที่ผู้สมัครจากพรรคหลักของฝรั่งเศสไม่ได้เป็นผู้ชนะเข้ามาสู่การเลือกรอบสอง โดยผู้สมัครจากพรรคดังอย่าง Republican, Francois Fillion มาที่ 3 ด้วยคะแนนราว 20% ด้วยผลการเลือกตั้งที่เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาดและสะท้อนภาพเดียวกับผลสำรวจในการเลือกตั้งรอบแรกทำให้ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ราว 2% หลังจากการเรื่องตั้งในรอบแรกจบลง ผลสำรวจการเลือกตั้งรอบสองแสดงให้เห็นว่า Emmanuel Macron น่าจะเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง ปัจจุบันผลสำรวจการเลือกตั้งรอบที่สองแสดงให้เห็นว่า Emmanuel Macron ได้คะแนนราว 35% ขณะที่ Marine Le Pen มีอยู่ที่เพียง 15.0% ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าทาง Macron มีโอกาสชนะค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามหากดูที่ผลสำรวจก็จะเห็นได้ว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนมากราว 20% ที่ยังไม่รู้จะเทคะแนนให้ใคร ส่งผลให้การเลือกตั้งรอบสองนี้ก็ยังเกิดความไม่แน่นอนอยู่มาก นอกจากนี้ ตลาดก็ได้มีบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเชื่อผลสำรวจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่ผลสำรวจเรื่อง Brexit ที่โพลชี้ว่าส่วนมากน่าจะเป็นการอยู่ต่อหรือ Bremain อีกทั้ง กรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ Donald Trump ผลิกมาชนะ Hillary Clinton ได้ ทำให้ตลาดยังคงมีท่าทีระมัดระวังก่อนการเลือกตั้งรอบที่สองที่จะเกิดขึ้นเร็วนี้ หากถามว่าทำไมการเลือกตั้งของฝรั่งเศสมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของกลุ่มยูโรโซนนั้น ก็คงเป็นเพราะท่าทีและนโยบายปิดกั้นประเทศของผู้สมัครที่ผ่านเข้ามาในรอบสองอย่าง Marine Le Pen ในฝั่งของพรรค National Front โดยหากดูนโยบายสำคัญของคุณ Le Pen จะเห็นได้ว่าต้องการเปลี่ยนฝรั่งเศสให้เข้าสู่การปิดกั้นประเทศมากขึ้น โดยหากชนะ เธอต้องการให้ฝรั่งเศสมีการทำประชามติเพื่อออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและกลับมาใช้สกุลเงินของตัวเองอีกครั้ง นอกจากนี้ เธอต้องการเปลี่ยนกฏหมายผู้อพยพ และต้องการจำกัดสิทธิสังคมอย่างเช่นการศึกษาฟรีให้กับแค่เพียงคนสัญชาติฝรั่งเศสเท่านั้น โดยในช่วงที่ผ่านมากระแสชาตินิยมได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลก เริ่มตั้งแต่อังกฤษที่ขอออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และการที่ Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสต่อต้านผู้อพยพในสหภาพยุโรปก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันนับตั้งแต่การที่มีผู้อพยพจำนวนมากเข้ามาอาศัยในยุโรป อย่างเช่นผู้อพยพจากซีเรีย โดยหากดูสาเหตุที่คนยุโรปไม่ชอบสหภาพยุโรป หลักๆ เป็นเพราะเรื่องนโยบายผู้อพยพ เนื่องจากมองว่าผู้อพยพเหล่านี้ได้เข้ามาแย่งงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูงจะเป็นประเทศที่มีการต่อต้านสหภาพยุโรปและผู้อพยพค่อนข้างมาก นอกจากนี้ การก่อการร้ายในยุโรปที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอยากมีการปิดประเทศมากขึ้น อย่างเช่นในฝรั่งเศสเองที่ในระยะหลังมีการก่อการร้ายเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 3 วัน ก็มีการก่อการร้ายที่ปารีสโดยกลุ่ม IS ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มคะแนนเสียงให้กับกลุ่มชาตินนิยมและกลุ่มขวาจัดอย่าง Marine Le Pen ได้ ความเสี่ยงในการเลือกตั้งของฝรั่งเศสยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหาก Marine Le Pen กลับมาชนะการเลือกตั้งในรอบ 2 เพราะจะกระทบกับเสถียรภาพของสหภาพยุโรป เนื่องจากฝรั่งเศสมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพี่ใหญ่อย่างเยอรมัน นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดกระแสต่อต้านสหภาพยุโรปในอีกหลายๆ ประเทศและต้องการแยกตัวออกมาตาม โดยอีกประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงก็คืออิตาลีซึ่งจะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้าและกระแสการต่อต้านสหภาพยุโรปเองก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยความเสี่ยงต่อความมั่นคงของการรวมกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรปที่ยังไม่แน่นอนจนกว่าการเลือกตั้งจะจบลง ทำให้เรามองว่าค่าเงินยูโรเองน่าจะยังได้รับแรงกดดันอยู่และอาจปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงใกล้กับการเลือกตั้งฝรั่งเศสในรอบที่สอง ทั้งนี้ หากดูความเสี่ยงของประเทศฝรั่งเศสผ่าน CDS (credit default swap) เราจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงของฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะกดดันผลตอบแทนของพันธบัตรฝรั่งเศสต่อเนื่อง