Arvind Krishna ซีอีโอ IBM กล่าวเปิดตัวงาน IBM Think Digital 2020 งานประชุมใหญ่ของ IBM ที่มีลูกค้า คู่ค้า และผู้บริหารจากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 90,000 คน ซึ่งถึงแม้การจัดงานประจำปี 2020 จะไม่สามารถจัดแสดงได้ตามปกติและเปลี่ยนรูปแบบเป็นการจัดผ่านออนไลน์ก็ตาม
Arvind กล่าวเริ่มต้นถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของหลายองค์กร โดยเป็นทั้งตัวขับเคลื่อนดิสรัปชันที่ทรงพลังและโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด จึงถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต้องสร้างธุรกิจและเครือข่ายให้ยืดหยุ่นพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อพร้อมรับความท้าทายที่คาดไม่ถึงจากผลกระทบโควิด-19 "ช่วงเวลานี้จะได้รับการจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ ว่าเป็นช่วงที่โลกธุรกิจและสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงและก้าวสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอย่างฉับพลันเร่งด่วนชนิดไม่ทันตั้งตัว” Arvind กล่าว “เวลานี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ธุรกิจต่างๆ จะหันมาพัฒนาโซลูชันใหม่ รูปแบบการทำงานใหม่ และความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งองค์กรและลูกค้า ไม่เพียงเฉพาะสำหรับวันนี้ แต่ยังยาวไปถึงอีกหลายปีข้างหน้าด้วย”ชูเทคโนโลยีผสมผสานไฮบริดคลาวด์และเอไอ
Arvind กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า "IBM Watson AIOps" จะเป็นเครื่องมือ ‘AI’ ใหม่ล่าสุด ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริหารด้านไอที ด้วยการนำระบบอัตโนมัติเข้าช่วยบริหารจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงช่วยองค์กรลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ใช้เอไอช่วยตรวจจับเหตุผิดปกติของระบบไอทีแบบอัตโนมัติ พร้อมวิเคราะห์และทำการตอบสนองต่อปัญหาแบบเรียลไทม์ ซึ่ง Watson AIOps ได้รับการพัฒนาขึ้นบน Red Hat OpenShift ที่สามารถทำงานได้บนทุกสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ รวมถึงทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอย่าง Slack และ Box ที่รองรับรูปแบบการทำงานในปัจจุบันที่ผู้ใช้งานต่างอยู่กันคนละที่ “เราได้เรียนรู้จากองค์กรทั่วโลกว่ามีสามปัจจัยหลักที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการนำเอไอมาใช้ ประกอบด้วย ความสามารถในการเข้าใจภาษาธรรมชาติของเอไอ ระบบออโตเมชัน รวมถึงความปลอดภัยและน่าเชื่อถือของระบบ” Rob Thomas รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มคลาวด์และดาต้าของ IBM กล่าว “ภาวะวิกฤติจากโควิด-19 และความต้องการใช้งานเทคโนโลยีสำหรับการทำงานระยะไกลที่เพิ่มขึ้น กำลังเร่งให้เกิดความต้องการในการใช้ระบบเอไอและออโตเมชันแบบก้าวกระโดด ระบบออโตเมชันจะช่วยให้ผู้บริหารด้านไอทียุคใหม่รวมถึงทีมงานที่เกี่ยวข้อง สามารถโฟกัสไปที่งานสำคัญๆ อย่างการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำมุมมองเชิงลึกที่ได้มาสนับสนุนธุรกิจให้เดินหน้าและลดค่าใช้จ่ายขององค์กรต่อไป” ด้าน ลูกค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ต่างให้การต้อนรับโซลูชันใหม่นี้เป็นอย่างดี แม้ในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน "อุตสาหกรรมของเราได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ และการที่เราได้เริ่มนำเอไอมาใช้แล้วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้" Roland Schütz รองประธานบริหารและประธานฝ่ายสารสนเทศของกลุ่ม Rufthansa กล่าวและเสริมว่า “การทำงานร่วมกับไอบีเอ็มในการนำวัตสันซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอไอเข้ามาใช้ ช่วยให้เราสามารถเดินหน้าพลิกโฉมศักยภาพด้าน Data Science ของเรา ทั้งนี้ การนำเอไอมาใช้กับกระบวนต่างๆ นำสู่ประโยชน์มากมายตั้งแต่การตอบสนองต่อลูกค้าได้ดี ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการปฏิบัติการ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยจะสนับสนุนองค์กรให้สามารถกลับมาเริ่มต้นได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้งหลังจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้” ทั้งนี้ภายในงาน “IBM Think Digital 2020” IBM ยังได้เปิดตัวโซลูชันต่างๆ อาทิ IBM Edge Application Manager ที่ช่วยให้สามารถ deploy เวิร์คโหลดเอไอ อนาไลติกส์ และไอโอที ได้จากระยะไกล ทำให้การวิเคราะห์และแสดงมุมมองเชิงลึกต่างๆ เป็นไปในแบบเรียลไทม์ และช่วยให้ผู้ดูแลระบบหนึ่งคนสามารถบริหารจัดการเอ็ดจ์ได้ถึง 10,000 โหนด ภายใต้ระบบที่มีความปลอดภัย ผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่ม Independent Software Vendors (ISVs) และผู้ให้บริการ Software-as-a-Service (SaaS) กลุ่มแรกที่เปิดให้บริการบนคลาวด์สาธารณะสำหรับบริการด้านการเงิน ประกอบด้วย Assima, C3.ai, Finacle, Intellect Design และ Thought Machine เพื่อให้ธนาคารที่เข้ามาใช้บริการมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการจากเวนเดอร์ที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ "แพลตฟอร์มเทคโนโลยีถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในศตวรรษที่ 21” Arvind Krishna ซีอีโอ IBM กล่าวทิ้งท้ายว่า "เพราะจะเป็นเครื่องตัดสินว่าองค์กรจะตั้งหลักเพื่อคว้าโอกาสใหม่ๆ ในตลาดได้เร็วแค่ไหน จะให้บริการลูกค้าได้ดีเพียงใด จะเติบโตได้มากแค่ไหน และจะตอบสนองต่อวิกฤตการณ์อย่างที่เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ได้เร็วเพียงใด”- คลิกอ่านเพิ่มเติม: “ศุภชัย เจียรวนนท์” ชี้วิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส แนะรัฐตั้งเป้าเมืองไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของโลก
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine