สถิติมีไว้ให้ถูกทำลาย - Forbes Thailand

สถิติมีไว้ให้ถูกทำลาย

ปี 2018 เริ่มต้นอย่างสดใส เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่กันแทบจะทุกตลาด ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นแซงจุดสูงสุดเดิมที่ 1,753.73 จุด ซึ่งเคยไปถึงเมื่อ 4 มกราคม 2537 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 และทะยานขึ้นต่อเนื่องทะลุ 1,800 ไปได้อย่างง่ายดายในช่วงต้นปีนี้ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ไม่น้อยหน้า ดัชนีตลาดหุ้น S&P500 ทยอยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ดัชนียังปรับขึ้นต่อเนื่องโดยไม่มีการพักฐานเกินกว่า 5% มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งนับเป็น “ขาขึ้น” ของหุ้นที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากเทียบกับในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีการปรับฐานในระดับ 5% โดยเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งหรือราว 6 เดือนต่อครั้งนั่นเอง ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เราก็เห็นการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน เช่น ราคาน้ำมัน (Brent) ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งในปีนั้นราคาน้ำมันลดฮวบลงจาก 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาเหลือ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปลายปี และรวมไปถึงราคาโลหะอุตสาหกรรมหลายตัวซึ่งปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในระดับ +20% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ในตลาดตราสารหนี้ก็มีสัญญาณของความร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกลุ่มตราสารหนี้ขยะ หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยผู้กู้ที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ (Junk Bond หรือ High Yield Bond) ในยุโรป ซึ่งอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับต่ำกว่า 3% ซึ่งนับว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนราว 2.5% โดยไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ Argentina ซึ่งเป็นประเทศที่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้มาหลายครั้ง ได้เสนอขายพันธบัตรรัฐบาลอายุ 100 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยประมาณ 8% และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างล้นหลาม ไม่เฉพาะในตลาดการเงิน ความร้อนแรงยังมีให้เห็นในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ราคา Bitcoin ซึ่งพุ่งขึ้นจากไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 15,000 ในปัจจุบัน หรือแม้แต่ในวงการศิลปะ ซึ่งภาพวาด Salvadore Mundi ของ Leonardo Da Vinci (ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางส่วนยังตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นของปลอม) ได้ถูกประมูลไปด้วยราคา 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าสูงสุดในการซื้อขายภาพวาดตั้งแต่เคยมีมา ความร้อนแรงของราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภทตามตัวอย่างข้างต้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องและเป็นวงกว้างมากขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตามพื้นฐานที่ดีขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องและนโยบายดอกเบี้ยต่ำ (หรือดอกเบี้ยติดลบ) ในหลายประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดภาวะสภาพคล่องล้นโลกและดันราคาสินทรัพย์ให้เพิ่มชึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างที่เห็น ซึ่งปัจจัยด้านสภาพคล่องนั้นเป็นปัจจัยที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งและนับเป็นความเสี่ยงที่สำคัญในปีนี้ โดยจากการประเมินของ TISCO ESU เราคาดว่าธนาคารกลางหลัก 3 แห่งของโลก ซึ่งได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BoJ) และสหรัฐฯ (Fed) จะทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องและเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องของโลกซึ่งเคยเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อไตรมาสมาตั้งแต่ปี 2013 ลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง (1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อไตรมาส) ในไตรมาส 1/2018 และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจนเหลือ 0 ในไตรมาส 4/2018 และหลังจากนั้นสภาพคล่องของโลกจะเริ่มลดลงในปี 2019 ซึ่งหากเป็นไปตามที่เราประเมิน ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะเริ่มผันผวนขึ้นจากความกังวลต่อประเด็นสภาพคล่องดังกล่าวในช่วงไตรมาส 3/2018 โดยสรุป แม้ตลาดหุ้นในปีนี้จะเริ่มต้นปีอย่างสดใส และการที่ตลาดพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่คงทำให้นักลงทุนหลายท่านมีความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นไปตลอดทั้งปี แต่ผมมองว่าตลาดหุ้นในปีนี้จะมี Upside ไม่มาก เนื่องจาก Valuation ที่ค่อนข้างแพง และตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังอาจไม่ได้สดใสเหมือนช่วงนี้ ซึ่งนักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ครับ