แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 จะชะลอตัว จากวิกฤติโควิด-19 การหดตัวของเศรษฐกิจ และผลของมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV ส่งผลให้กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
แต่เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มกลับมามีสัญญาณดีขึ้น ทั้งในส่วนของโครงการใหม่ที่ผู้ประกอบการเร่งอัดโปรโมชั่นควบคู่สงครามราคา กระตุ้นกำลังซื้อเพื่อระบายสต็อกคงค้าง และบ้านมือสองที่เห็นสัญญาณผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น-ภาพรวมบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสองหลังวิกฤติโควิด-
จากที่คนส่วนใหญ่ต้อง Work from Home หรือใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด จึงเริ่มรู้สึกว่าต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นเพื่อที่จะสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการทำงานและกิจกรรมต่างๆ ที่บ้านได้มากขึ้น แทนที่จะอยู่ในคอนโดฯ หรือพื้นที่เล็กๆ เหมือนเดิม จึงทำให้โครงการใหม่ๆ อย่างโครงการแนวราบได้รับความนิยมมากขึ้น สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มเน้นตลาดแนวราบ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ หรือชานเมือง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC คาดว่าทั้งปี 2563 ตลาดแนวราบจะมีอัตราการเปิดตัวใหม่เติบโต 12.6% อยู่ที่ 48,965 หน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าปี 2564 ตลาดแนวราบยังมีแนวโน้มการเปิดตัวใหม่ต่อเนื่อง เติบโต 6.3% อยู่ที่ 52,044 หน่วย ซึ่งจะขยายตัวทุกไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563 ถึงไตรมาส 4 ปี 2564 ในส่วนของตลาดบ้านมือสองก็มีแนวโน้มเติบโตด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านมือสอง คอนโดฯ มือสอง ทั้งที่เจ้าของขายเอง หรือประมูลผ่านกรมบังคดีที่นำมาขายทอดตลาด หรือทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จากธนาคารและสถาบันการเงิน ต่างก็ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากราคาบ้านมือสองที่ถูกกว่าบ้านใหม่ 20-60% ทำให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อจำกัด มีโอกาสเข้าถึงบ้านมือสองในราคาเอื้อมถึงได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ และยังเป็นโอกาสให้กลุ่มนักลงทุน มาลงทุนซื้อบ้านมือสองที่ได้ผลตอบแทนดี จากราคาบ้านที่สูงขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จากรายงานของ REIC พบว่า 10 จังหวัดที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยมือสองมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ เชียงใหม่ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง และสมุทรสาคร มีจำนวนถึง 137,632 หน่วย คิดเป็น 90.18% ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล-ผลสำรวจชี้คนไทยถึง 75% วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต-
จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อสภาพตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดพบว่า คนไทย 3 ใน 4 หรือ 75% ยังคงวางแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต โดย 5 อันดับเหตุผลที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อบ้าน คือ- ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น 51%
- ต้องการพื้นที่ที่มากขึ้นให้ลูกหรือพ่อแม่ 30%
- ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น ย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงาน ใกล้โรงเรียนลูก 26%
- เพื่อการลงทุน 22%
- อยากย้ายไปอยู่ทำเลใหม่ 19%
-มุมมองคนไทยต่อการซื้อบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง-
ผลสำรวจฯ ยังระบุอีกว่า ผู้บริโภคเกือบครึ่งหรือ 48% กำลังมองหาโครงการบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสองควบคู่กัน ส่วนอีก 4% มองหาบ้านมือสองเพียงอย่างเดียว ทั้งจากการซื้อต่อจากเจ้าของเดิมและจากการประมูล โดยคนไทยสนใจซื้อที่อยู่อาศัยผ่านการประมูลถึง 63% หากพิจารณาตามช่วงอายุพบว่า- ช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้ความสนใจมากที่สุดถึง 68% เนื่องจากจ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านใหม่ สามารถนำเงินส่วนที่เหลือไว้ใช้ยามเกษียณ อีกทั้งยังเลือกเพื่อนบ้าน ทำเลและสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยรอบได้ก่อนตัดสินใจ และซื้อแล้วเข้าอยู่ได้ทันที
- รองลงมาคือช่วงอายุ 40-49 ปี อยู่ที่ 67%
- ช่วงอายุ 30-39 ปี อยู่ที่ 65%
- ช่วงอายุ 50-59 ปี อยู่ที่ 64%
- ช่วงอายุ 22-29 ปี อยู่ที่ 58%
ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand