เศรษฐกิจจีน โตช้าที่สุดในรอบ 27 ปี ...สงครามการค้ามีผลกระทบจริงหรือ? - Forbes Thailand

เศรษฐกิจจีน โตช้าที่สุดในรอบ 27 ปี ...สงครามการค้ามีผลกระทบจริงหรือ?

เศรษฐกิจจีน เติบโต 6.2% ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2019 ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่น้อยที่สุดในรอบ 27 ปี คาดเดาได้เลยว่า Donald Trump จะต้องไม่รอช้าในการอ้างชัยชนะ แต่จริงหรือที่ว่าสงครามการค้าส่งผลต่อการเติบโตของจีน และแดนมังกรกำลังเจอภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ

แปลและเรียบเรียงจาก China's Economy Grows At Slowest Pace In Nearly 30 Years, But Is The Trade War To Blame? เขียนโดย Yuwa Hedrick-Wong อาจารย์ต่างชาติเต็มเวลาจาก Lee Kuan Yew School of Public Policy มหาวิทยาลัยประจำชาติสิงคโปร์

Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทวีตผ่านบัญชีทวิตเตอร์ของเขาเมื่อคืนวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า “...กำแพงภาษีของสหรัฐฯ กำลังส่งผลหนักต่อหลายบริษัทจนพวกเขาต้องการตีจากประเทศจีนไปสู่ประเทศที่ไม่มีกำแพงภาษี บริษัทหลายพันแห่งกำลังจากไป...”

https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1150717474624692224?s=20

แต่ความจริงก็คือ ตัวเลขจีดีพีรายไตรมาสล่าสุดของจีนในปีที่สองของสงครามการค้าโลกนี้ กลับเป็นภาพสะท้อนถึงเศรษฐกิจจีนที่แข็งแรงและยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิม

ตัวเลขการเติบโต 6.2% (YoY) นี้ต่ำกว่าไตรมาสแรกที่มีการเติบโต 6.4% (YoY) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และที่สำคัญยิ่งกว่าคือรายละเอียดเบื้องหลังตัวเลขการเติบโต

เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปในตัวเลขจีดีพีจีน ถึงแม้ว่าภาคส่งออกจะชะลอตัวลง แต่ทั้งการบริโภคภายในประเทศและอุตสาหกรรมการผลิตกลับยิ่งแข็งแรง ส่งผลให้ตัวเลขรายได้ครัวเรือนของประชากรจีนยังคงเติบโต นำไปสู่ยอดขายที่ดีของธุรกิจรีเทล

ท่ามกลางบริบทการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนในระดับนี้ นี่ถือเป็นข่าวอันยอดเยี่ยมที่ภาคธุรกิจบริการและการบริโภคภายในประเทศคือแรงผลักดันสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ธุรกิจส่งออก

กล่าวโดยสรุปก็คือ ทั้งผู้บริโภคชาวจีนและบริษัทที่มุ่งเน้นดีมานด์ในประเทศต่างไม่ให้ความสนใจสงครามการค้าของ Donald Trump พวกเขายังคงดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างสงบ

 

'เศรษฐกิจจีน' เลิกพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก

เศรษฐกิจจากการบริโภคภายในประเทศของจีนสามารถทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลงได้สำเร็จ เพราะดีมานด์ในประเทศมีขนาดใหญ่พอที่จะทำเช่นนั้นได้ ปัจจุบันภาคธุรกิจบริการกลายเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในจีดีพีของจีน และกำลังปฏิรูปด้านนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว พร้อมตอบสนองการขยายตัวของชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง

CLSA บริษัทโบรกเกอร์และการลงทุนจากฮ่องกง วิจัยพบว่า ค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขการส่งออกกับการเติบโตของจีดีพีจีนมีเพียง 0.3 เท่านั้น (หมายถึง หากภาคส่งออกมีการขยายตัว 1% จะทำให้จีดีพีเติบโต 0.3%) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และต่ำกว่ามากหากเทียบกับประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย

เศรษฐกิจจีน การส่งออก
หากการส่งออกของจีนเติบโต 1% จะทำให้จีดีพีประเทศเติบโต 0.3% เท่านั้น เป็นค่าความสัมพันธ์ที่ต่ำที่สุดในเอเชีย (PHOTO CREDIT: PEERAWAT JARIYASOMBAT / Bangkok Post)

จีนเป็นประเทศผู้นำของโลกในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ, mobile-payment และระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด เพราะผู้บริโภคชาวจีนมีนิสัยกล้าเสี่ยงและชื่นชอบการทดลองประสบการณ์ใหม่ด้วยอุปกรณ์ล้ำสมัย ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นเหมือนพันธมิตรของนักลงทุนผู้ทะเยอทะยานในวงการเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลาดขนาดมหึมาของประเทศจีนยังหมายถึงศักยภาพการขยายตัว (scale up) ของสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในภาคบริการ สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนทรงพลังของแหล่งงานและการสร้างรายได้ในเจนเนอเรชันนี้ โดยเมื่อสิ้นปี 2018 ภาคบริการของจีนมีการจ้างงานมากกว่า 350 ล้านตำแหน่ง มากยิ่งกว่าภาคอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงาน 100 ล้านตำแหน่ง และเทรนด์นี้คาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

 

ผ่อนคลายทางการเงินกระตุ้นธุรกิจในประเทศ

สิ่งที่เราได้เห็นขณะนี้เป็นเพียงภาพตัวอย่างของหนังม้วนยาว เพราะเทรนด์โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจรูปแบบดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น วัฏจักรธุรกิจในจีนเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากนโยบายการเงินการคลังของจีนที่เริ่มผ่อนคลายขึ้น

หากมองย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน การขันน็อตของรัฐบาลจีนนั้นรุนแรงกว่าที่คาด การบีบคั้นสินเชื่อทางการเงินนั้นส่งผลอย่างหนักต่อบริษัทที่พึ่งพิงระบบธนาคารเงา (Shadow Banking) เป็นแหล่งทุน หลังจากที่ระบบธนาคารเงาได้หดตัวลง ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็ถูกจัดระเบียบ ในที่สุดปีนี้สถานการณ์จัดระเบียบทางการเงินได้เข้าสู่จุดสมดุลและกำลังจะเป็นขาขึ้น

เศรษฐกิจจีน การบริโภคภายในประเทศ
เศรษฐกิจจีน กำลังหันมาพึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศ ท่ามกลางการเติบโตของชนชั้นกลางในเขตเมือง (PHOTO CREDIT: Akira Kodaka / Bangkok Post)

ในหลายเดือนข้างหน้า สินเชื่อเงินกู้จะกลับสู่ระบบอีกครั้งและมุ่งเป้าไปยังภาคเอกชนที่กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ไม่เหมือนกับในอดีตที่ภาครัฐมุ่งเป้าไปยังภาคการส่งออก

ตอนจบของหนังเรื่องนี้คือการสับเปลี่ยนการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงปริมาณเป็นการเติบโตด้วยคุณภาพของการลงทุนที่มีอยู่แล้ว และจีนจะต้องการการลงทุนใหม่ๆ น้อยลงกว่าในอดีต ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนที่มาจากกำลังซื้อภายในประเทศจะปรากฏให้เห็นชัดในอีกไม่กี่ปีจากนี้

 

บริษัทต่างชาติไม่ยอมถอย

ในทางตรงข้ามกับทวีตของ Trump บริษัทต่างชาติไม่ได้เข้าคิวกันถอยออกจากตลาดจีน จากการสำรวจของ Financial Times พบว่า บริษัทต่างชาติที่ไม่ใช่ธุรกิจการเงินในประเทศจีนยังคงมีความสุขดีกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น รายได้บริษัทต่างชาติเติบโตขึ้น 20% ในปี 2018 สูงขึ้นจากการเติบโต 13% ในปี 2017 และดูเหมือนว่าเทรนด์นี้จะยังเติบโตต่อไปในปี 2019

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บริษัทต่างชาติหลายแห่งต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งท้องถิ่นในจีนที่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ตลาดจีนซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจขนาดยักษ์ที่โตเร็วที่สุดในโลกนั้นยังคงยั่วยวนใจอย่างยิ่งสำหรับบริษัทอเมริกัน

ปีที่ผ่านมา บริษัทอเมริกันทำรายได้จากการดำเนินงานในประเทศจีนรวมกันประมาณ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาสนใจในตอนนี้คือการปกป้องฐานตลาดในจีนจากผลกระทบของสงครามการค้า พวกเขาต้องการค้นหาวิธีที่จะทำให้รายได้เติบโตยิ่งขึ้น ไม่ใช่การโบกมืออำลาจากแดนมังกร

  แปลโดย: พัฐรัศมิ์ ว่องไชยกุล / Online Business Writer  
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine