จรีพร จารุกรสกุล Wonder Woman ผู้สร้าง WHA - Forbes Thailand

จรีพร จารุกรสกุล Wonder Woman ผู้สร้าง WHA

หญิงแกร่งผู้บุกเบิกโฉมใหม่ให้แก่วงการโลจิสติกส์เมื่อ 14 ปีก่อน ดังเช่น จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ในวัย 50 ปี เปิดปฐมบทแรกแห่งการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยการทำกิจการพลาสติกและพาเลทตั้งแต่อายุ 26 ปี ก่อนเปลี่ยนสายงานสู่ด้านการบริหารคลังสินค้าและกระจายสินค้าในปี 2546

มาถึงวันนี้ เธอได้พิสูจน์ฝีมือและความเชื่อว่า การตัดสินใจเลือกสร้าง ศูนย์กระจายสินค้าตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (build-to-suit) เป็นแนวทางที่ถูกต้อง พร้อมทั้งยังสามารถขับเคลื่อนให้กิจการหลักอย่าง WHA เติบโตเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าตลาดหลักทรัพย์กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท โดยมีเธอเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่ง ปัจจุบันกลุ่ม WHA ที่อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของเธอดำเนินกิจการครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. โลจิสติกส์ (Logistics & Industrial Properties Business) โดย บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น 2. นิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate Business) โดย บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน 3. สาธารณูปโภคและพลังงาน (Utilities & Power Business) โดยบมจ. ดับบลิวเอชเอยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ 4. การให้บริการด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure Business) โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด
จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group วัย 50 ปี
ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2560 ทั้งกลุ่มถือครองโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานรวม 32 โครงการ นิคมอุตสาหกรรม 9 แห่ง โรงไฟฟ้า 13 โครงการ และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (data center) 3 ศูนย์ ขณะที่ทั้ง 4 กลุ่มได้เริ่มเดินเครื่องธุรกิจไปในแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะกลุ่มดิจิทัลที่ data center กำลังจะเสร็จภายในช่วงครึ่งปีหลังและวางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไว้พร้อม ซึ่งน่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี โดยกลุ่ม WHA ตั้งเป้าที่จะทำรายได้ราว 1.3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ซึ่งรายได้ในส่วนโลจิสติกส์นั้น ได้ตั้งเป้าพื้นที่เช่าสุทธิเติบโตกว่า 25% ส่วนด้านนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะมีการเติบโตกว่า 70% ขณะที่สาธารณูปโภคคาดเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และพลังงานไม่น้อยกว่า 40% “แม้ว่าเป้าหมายทำรายได้รวมจะลดลงกว่าในปีก่อน แต่อัตราการทำกำไรของเราไม่ได้ลดลง เพราะเราขายทรัพย์สินเข้ากองทุน REITs ลดลง เช่นเดียวกับต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (recurring income) มากขึ้น”  

ปูพิมพ์เขียวแผน 5 ปี

ฉากใหม่ของ WHA ที่จรีพรวาดหวังไว้ตามแผนขยายธุรกิจ 5 ปี (ระหว่างปี 2559 - 2563) ที่ตั้งเป้ามีรายได้และส่วนแบ่งกำไรสูงเกิน 2.1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563 พร้อมเตรียมงบลงทุนรอบด้านถึง 4.3 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมาจาก กลุ่มโลจิสติกส์ (32%) และนิคมอุตสาหกรรม (32%) รวมถึงกลุ่มสาธารณูปโภคและพลังงาน (18%) ควบคู่กับกลุ่มบริการดิจิทัล (18%) สำหรับธุรกิจในเมืองไทย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ของ WHA จะเน้นเป้าหมายหลัก 2 ด้าน เป้าหมายแรกคือ มุ่งพัฒนาอาคารมูลค่าสูงให้เช่า ทั้งคลังสินค้าแบบ build-to-suit (BTSW) โรงงานแบบ build-to-suit (BTSF) warehouse farm ที่มีทั้งคลังสินค้าแบบ build-to-suit และแบบสำเร็จรูป (ready-built) คลังสินค้าหรือโรงงานแบบ build-to-own (BTO) ตามต้องการของลูกค้า และสำนักงานแบบ build-to-suit เป้าหมายที่สองคือ บริษัทจะสนับสนุนและใช้โอกาสจาก นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)* ของรัฐบาล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่เอื้อต่อการเติบโตแก่กลุ่ม WHA ยิ่งขึ้นในอนาคตด้วยทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของ WHA ล้วนสอดรับกับเป้าหมายและการพัฒนาของโครงการ EEC ในการจัดหาแพลตฟอร์มดิจิทัลและโรงงานหรือคลังสินค้าอัจฉริยะ เพื่อช่วยทำให้ซูเปอร์คลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้นได้ “นอกจากที่ EEC จะทำให้มีความต้องการด้านโลจิสติกส์และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นแล้ว ยังต่อยอดไปถึงความต้องการใช้งานด้านสาธารณูปโภคและพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยขยายขอบเขตไปถึงการเติบโตของบริการด้านดิจิทัลด้วย เราจึงเชื่อว่าตามแผน EEC จะทำให้ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของเราโชติช่วงชัชวาลแน่ๆ” ไม่เพียงเท่านั้น WHA จะพัฒนาพื้นที่ราว 500 ไร่ ไว้รองรับอุตสาหกรรมการบินและหุ่นยนต์บริเวณใกล้กับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ซึ่งจะได้รับการพัฒนาให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์หลัก สำหรับอุตสาหกรรมอากาศยาน ขนส่งสินค้า และเครื่องจักรอัตโนมัติ สำหรับตลาดต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์มีการวางแผนขยายพื้นที่บริการราว 10% ภายในระยะเวลา 5 ปีในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม)
คลังสินค้าแบบ built-to-suit ของ WHA
นิคมอุตสาหกรรมของ WHA ทุกแห่งได้รับการออกแบบและพัฒนาให้เป็น “สมาร์ท ดิสทริค” และครบครันด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอันทันสมัย โดยยังคงเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี และกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคตอีก 5 กลุ่ม คือ ดิจิทัล การบิน หุ่นยนต์ พลังงานชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ทั้งนี้ WHA วางแผนที่จะลงทุนงบประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าในกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนเติมเต็มของนิคมอุตสาหกรรม ครอบคลุมการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวน 13 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวม 2,537 เมกะวัตต์ในราวปี 2562 นอกเหนือไปจากโรงไฟฟ้าแบบทั่วไป WHA ยังพัฒนาโครงการพลังงานทางเลือกอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ โดยบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ราว 2.5 เมกะวัตต์ บนพื้นที่หลังคา 2 ล้านตารางเมตรนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ยิ่งไปกว่านั้น WHA ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการพลังงานจากขยะร่วมกับพันธมิตรอีกด้วย ส่วน ธุรกิจสาธารณูปโภค เช่น การให้บริการน้ำดิบ น้ำประปา และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม รวมไปถึงระบบจัดการน้ำเสียจะยังคงขยายบริการในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ทั้งหมด ซึ่ง WHA เป็นผู้ให้บริการด้านน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิตรวมถึง100 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี และจะพัฒนาเพื่อให้บริการไปยังพื้นที่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม และต่างประเทศ ขณะเดียวกันกลุ่ม WHA ยังมีแผนสร้าง data center ราว 3-5 แห่ง ในช่วงปี 2559-2563 โดยศูนย์ data center จะเริ่มเปิดให้บริการช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนแห่งที่ 3 คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2561 ตามด้วยอีก 2 โครงการภายในปี 2565 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณย่านพระราม 2 และวังน้อย  

บุกเบิกใช้หุ่นยนต์

ในอดีตนั้น รูปแบบการก่อสร้างของคลังสินค้าให้เช่ามักมีสภาพเสมือน “กล่อง” แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานั้นถูกแทนที่ด้วยอาคารรูปแบบทันสมัยที่สร้างในแบบ built-to-suit ดังที่ลูกค้าต้องการ ทว่า อนาคตของธุรกิจโลจิสติกส์นั้น จรีพรเล็งเห็นว่า หุ่นยนต์จะเริ่มถูกนำมาใช้ในธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อจำกัดในเรื่องจำนวนแรงงานและอัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับราคาที่ดินแพงขึ้น ซึ่งเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวไปสร้างคลังสินค้าในแนวดิ่งแทน และต้องพี่งพาระบบการทำงานของหุ่นยนต์มากขึ้น “เมื่อนำ robotic เข้ามาช่วยแล้ว คลังสินค้าแห่งหนึ่งจากที่เคยใช้แรงงานคนถึง 300 คนอาจจะเหลือเพียง 30 คนเท่านั้นเช่นเดียวกับที่จะเป็นอีกครั้งที่ WHA เป็นผู้บุกเบิกในการนำหุ่นยนต์มาใช้ในธุรกิจ” อย่างไรก็ตาม แม้ในอดีตที่ผ่านมาการนำหุ่นยนต์มาใช้ในคลังสินค้าจะยังติดประเด็นต้นทุนของระบบ robotic ที่ยังคงมีราคาสูงมาก และจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แต่ในปัจจุบัน ราคาของระบบดังกล่าวได้มีการปรับตัวลดลงไปกว่า 50% และยังได้รับแรงสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐมาเสริมด้วย สำหรับปรัชญาการทำงาน จรีพรมองว่าผู้นำเปรียบเสมือนวาทยากรของวงดนตรีที่จะนำพาทั้งองค์กรก้าวข้ามไปสู่อีกระดับ “แม้พี่จะเป็น Group CEO แต่ก็ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่ด้วยความสามารถของทีมงานจึงทำให้มาได้ไกลถึงวันนี้ พี่มองว่าตัวพี่เป็นเหมือน ‘วาทยากร’ ที่ควบคุมให้นักดนตรีที่ต่างก็เก่งในเครื่องดนตรีที่ตนถนัดสามารถบรรเลงบทเพลงออกมาให้ได้ไพเราะที่สุด” เธอกล่าว ภาพ: กิตติเดช เจริญพร
คลิกเพื่ออ่าน "จรีพร จารุกรสกุล Wonder Woman ผู้สร้าง WHA" ฉบับเต็มได้ในรูปแบบ e-Magazine