วิถียั่งยืน “Soneva” มูลค่าแห่งธรรมชาติ - Forbes Thailand

วิถียั่งยืน “Soneva” มูลค่าแห่งธรรมชาติ

ประสบการณ์เที่ยวทะเล นอนรีสอร์ตริมหาด ดูธรรมดาไปทันที เมื่อได้มาสัมผัสรีสอร์ตหรูในวิถียั่งยืนที่เป็นมิตรกับธรรมชาติอย่าง “Soneva Fushi” และ “Soneva Jani” บนเกาะส่วนตัวกลางทะเลมัลดีฟส์


    ความยั่งยืน (sustainability) กลายเป็นวาระระดับโลกที่ทุกองค์กร ทุกธุรกิจ ต้องมองหาและมีแผนงานเป้าหมายชัดเจน เพื่อทำให้เห็นว่าองค์กรหรือกิจการเหล่านั้นดำเนินไปพร้อมแผนงานด้านความยั่งยืนอย่างไร หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า ผู้คนและองค์กรต่างๆ ตื่นตัวเรื่องความยั่งยืนอย่างชัดเจนราว 10 ปีก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สำหรับ Soneva รีสอร์ตหรูในคอนเซ็ปต์ที่เดินไปด้วยดีกับธรรมชาติ เป็นรีสอร์ตแนวอนุรักษ์ที่ส่งเสริมความสมบูรณ์ของธรรมชาติเป็นจุดเด่นซึ่งได้การตอบรับที่ดีมานานมากกว่า 2 ทศวรรษ

    ย้อนกลับไป ณ วันเริ่มต้นของ Soneva รีสอร์ตแห่งแรกของแบรนด์สร้างขึ้นที่มัลดีฟส์ Soneva Fushi เปิดตัวเมื่อปี 2538 ช่วงนั้นเป็นรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจรีสอร์ตของ Sonu Shivdasani และ Eva Malmström Shivdasani สองสามีภรรยาที่มีแนวคิดตรงกันคือ อยากสร้างรีสอร์ตให้เป็นแหล่งซ่อนตัวจากความวุ่นวายของเมือง เป็นที่พักพิงกับธรรมชาติ


    จุดนี้เองทำให้รีสอร์ตของพวกเขามีความแตกต่าง เขาเลือกออกแบบรีสอร์ตให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ สามารถใช้ชีวิตและสัมผัสธรรมชาติได้ตลอดเวลา รีสอร์ตนี้เป็นที่ยอมรับและอยู่ยืนยาวมาถึงปัจจุบันภายใต้แนวคิด “Inspiring a Lifetime of Rare Experiences” สร้างแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่หาได้ยาก


หรูหราอย่างยั่งยืน

    การเดินทางของ Soneva Fushi ได้ส่งต่อความสุขจากการสัมผัสประสบการณ์ในรีสอร์ตที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติบนเกาะ Baa Atoll และถือเป็นวิลล่ารีสอร์ตบนเกาะแห่งแรกของทะเลประเทศมัลดีฟส์ ความยิ่งใหญ่ภายใต้ข้อกำหนดของธรรมชาติดูจะเป็นคำอธิบายสัมผัสแรกที่ได้จากรีสอร์ตแห่งนี้ ด้วยความหรูหราที่จับต้องได้ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เป็นคำตอบของการสร้างรีสอร์ตที่หรูหราสะดวกสบาย แต่รบกวนธรรมชาติน้อยที่สุด

    “ที่นี่เราผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่สำรองไฟที่มีเพียงพอสำหรับใช้ในรีสอร์ตตลอด 24 ชั่วโมง” Gerhard Stutz จีเอ็ม Soneva Fushi และทีมบริหารด้านความยั่งยืนของรีสอร์ตเล่าให้ทีมงาน Forbes Thailand ที่ไปเยือนรีสอร์ตทั้ง 2 แห่งของ Soneva ได้รับฟังหลักคิดและแนวปฏิบัติของรีสอร์ตสุดหรูแห่งนี้ว่า ทุกอย่างมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ทั้งในด้านพลังงาน อาหาร ความรื่นรมย์ต่างๆ ที่ Soneva Fushi และ Soneva Jani ล้วนออกแบบมาอย่างรัดกุม มีความสะดวกสบาย น้ำไหล ไฟสว่าง โดยทุกอย่างไม่ได้รบกวนธรรมชาติ ทั้งเรื่องพลังงาน น้ำดื่ม น้ำใช้ อาหาร และการจัดการขยะ อีกทั้งของเสียยังมีกระบวนการนำมารีไซเคิล สร้างสิ่งใหม่ให้กลับมาใช้ได้อย่างหลากหลาย

    “ไม่มีของเสียลงทะเล น้ำจากรีสอร์ตได้รับการบำบัดอย่างดีและใช้หมุนเวียนภายในรีสอร์ต ไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ในการผลิต เป็นพลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์พร้อมระบบสำรองไฟเพื่อใช้ในรีสอร์ตได้ตลอดเวลา”

    ทั้งหมดนี้ต้องบอกว่า เป็นความสมบูรณ์ของการบริหารจัดการและอยู่กับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่โลก ที่นี่ทำมาก่อนกาลทั้งในเรื่องความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ต้น ขณะที่ช่วงนั้นทั่วโลกยังไม่พูดถึงเรื่องความยั่งยืนด้วยซ้ำ

    รีสอร์ตหรูที่แตกต่างนี้มาจากไอเดียของ Sonu และ Eva พวกเขาต้องการสร้างอาณาจักร Soneva ให้แตกต่างจากรีสอร์ตทั่วไปโดยใช้ความยั่งยืนเป็นหัวใจในการพัฒนา จึงเกิดภาพลักษณ์แบรนด์ Soneva ชัดเจนในฐานะรีสอร์ตระดับหรูที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การท่องเที่ยวต่างจากรีสอร์ตทั่วไป


    ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากการสรุปของทางรีสอร์ตเอง แต่ยืนยันได้จากรางวัลระดับโลกด้านรีสอร์ตหรูบนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืงของ Soneva Fushi มัลดีฟส์ ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2538 และ Soneva Kiri รีสอร์ตที่เกาะกูด ประเทศไทย เปิดให้บริการในปี 2553 และ Soneva Jani มัลดีฟส์ เปิดให้บริการปี 2559 นอกจากนี้ ยังมี Soneva in Aqua เรือยอช์ตสุดหรูที่เปิดให้บริการในมัลดีฟส์เมื่อปี 2558 และล่าสุด Soneva Secret เป็นรีสอร์ตแห่งแรกบนเกาะ Makunudhoo Atoll ประเทศมัลดีฟส์เช่นเดียวกัน

    รีสอร์ตทุกแห่งของ Soneva มีภาพลักษณ์และบริการที่ชัดเจน เป็นต้นแบบของโรงแรมและรีสอร์ตแนวยั่งยืนที่ทุกวันนี้หลายโรงแรมหันมาใช้เรื่องความยั่งยืนและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นจุดขายสำคัญ พัฒนาความทันสมัยด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่ไม่ลืมที่จะคำนึงถึงธรรมชาติ ทั้งในเรื่องของการใช้ทรัพยากร ลดการก่อมลภาวะในทุกรูปแบบ

    รางวัลด้านสิ่งแวดล้อมคือสิ่งยืนยันถึงความยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ของรีสอร์ตที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำในด้านความหรูหราอย่างยั่งยืน เห็นได้จากรางวัลมากมายที่ได้รับ รวมถึงรางวัล Conde Nast Traveller’s ‘Best of the Best’ ที่มอบให้แก่ Soneva Fushi ซึ่งทุกรีสอร์ตของ Soneva ก่อสร้างโดยใช้วัสดุธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม งดใช้พลาสติก และยังใช้วัตถุดิบที่ปลูกหรือจับได้เองเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วย


แนวคิด “ความหรูหราอย่างยั่งยืน” อนุรักษ์ธรรมชาติ

    ช่วงที่ทีมงาน Forbes Thailand ไปสัมผัสรีสอร์ตของ Soneva ทั้ง 2 แห่งที่มัลดีฟส์อยู่ในช่วงต้นฤดูหนาวของประเทศไทย แต่ที่มัลดีฟส์เป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นกำลังดี ด้วยพื้นที่ตั้งซึ่งอยู่กลางทะเลฤดูของที่นี่จึงมีเพียงฤดูร้อนและฝน ท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ทะเลมัลดีฟส์คลื่นลมไม่แรง เป็นพื้นที่โล่งที่ฟ้าโปร่งและวิวกว้างไกลสุดสายตา มีแต่น้ำทะเลจรดขอบฟ้า สะท้อนสีสดใสสวยงามตามช่วงเวลา แสงเรืองรองในช่วงพระอาทิตย์ตกดินเป็นอีกมนตร์เสน่ห์ของทะเลมัลดีฟส์ที่สวยเกินบรรยาย

    ในยามค่ำคืนรีสอร์ตที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดมองเห็นท้องฟ้าประดับไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ห้องพักสุดหรูในรีสอร์ตของ Soneva ทั้ง 2 แห่งที่สร้างด้วยเรือนไม้สามารถเลื่อนเปิดหลังคานอนชมดาวในห้องนอนได้อย่างสบายใจ เรือนไม้ที่สร้างไว้รับรองผู้มาเยือนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยวิลล่าหลังใหญ่สุดมีห้องนอนถึง 9 ห้อง ออกแบบอย่างกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยครบครัน


    แม้กระทั่งวิลล่าเหนือน้ำทะเล (Water Retreat) ขนาด 2 ห้องนอน ได้รับการออกแบบเป็นเรือนหลังใหญ่ มีสระว่ายน้ำส่วนตัวและสไลเดอร์ส่วนตัวทุกหลัง วิลล่าหลังนี้มีห้องเล็กห้องน้อยทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องทำงาน มุมพักผ่อน และห้องชมวิวบนชั้น 2 หากนับรวมทั้งหลังมีห้องกว่า 13 ห้องสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน ให้ความเป็นส่วนตัวและความสงบอย่างแท้จริง

    แม้จะเป็นรีสอร์ตอยู่บนเกาะกลางทะเล แต่ที่ Soneva มีน้ำดื่มบริการไม่ขาดสายเติมเต็มให้ตลอดเวลา เพราะทางรีสอร์ตสามารถผลิตน้ำดื่มได้เอง โดยการนำน้ำทะเลมาผลิตทำให้มีมากพอสำหรับการบริโภคได้อย่างทั่วถึง เช่นเดียวกับน้ำที่ทางรีสอร์ตผลิตเอง วัตถุดิบการทำอาหารต่างๆ ส่วนใหญ่ทางรีสอร์ตก็ใช้พืชพันธุ์ที่ปลูกเองเป็นวัตถุดิบ ซึ่ง Soneva Fushi มีสวนพืชผักสมุนไพรสำหรับเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร 2 สวนขนาดย่อม รองรับความต้องการของห้องอาหารรีสอร์ตที่มีถึง 9 ห้อง มีหลากสไตล์ให้เลือกไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตก ตะวันออก และอาหารแบบวีแกน ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ

    “เกาะนี้เรารักษาต้นไม้ตามธรรมชาติ ไม่มีการตัดหรือทำลาย ยังคงสภาพธรรมชาติไว้มากที่สุด ที่ Soneva Fushi จึงเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ” ทีมงานของรีสอร์ตอธิบายคร่าวๆ ถึงสภาพแวดล้อมว่า ทุกอย่างได้รับการรักษาไว้ตามธรรมชาติให้มากที่สุด โดยการสร้างอาคารจะไม่รบกวนต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงรักษาไว้ ตัวอาคารล้วนสร้างจากไม้ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ


    ความชัดเจนอีกอย่างของ Soneva คือที่มาของรีสอร์ตด้วยแนวคิด “หนึ่งเจ้าของ หนึ่งผู้บริหาร หนึ่งปรัชญา หนึ่งแบรนด์” หรือ One Owner, One Operator, One Philosophy, One Brand ที่ 2 ผู้ก่อตั้งวางเป็นเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้น โดยเริ่มจาก Soneva Fushi และอีก 3 แห่งตามมา ทุกแห่งล้วนเน้นการอยู่กับธรรมชาติ สร้างสถานที่พักผ่อนที่หรูหรา สะดวกสบาย แต่เป็นมิตรกับธรรมชาติในทุกมิติ

    เจตนารมณ์ที่ชัดเจนของ 2 ผู้ก่อตั้ง Soneva ต้องการสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พวกเขาได้ก่อตั้งมูลนิธิโซเนวา เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เน้นสนับสนุนการพัฒนาและการปฏิบัติการของโครงการและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ หรือกล่าวโดยรวมคือ การส่งเสริมโครงการที่เน้นสร้างความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน

    Soneva Fushi เป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่ที่ไม่รบกวนธรรมชาติ แม้จะมีห้องพักแบบวิลล่า 63 หลัง ขนาด 1-9 ห้องนอน ทุกหลังมีพื้นที่หาดส่วนตัว และส่วนใหญ่จะมีสระน้ำส่วนตัว โอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่ม และตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งชมปะการัง และเริ่มเปิดวิลล่ากลางน้ำ หรือ Water Retreat 8 หลัง มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2563 รวมเป็นทั้งหมด 71 วิลล่า โดยวิลล่าใหม่นี้มีขนาด 1-2 ห้องนอน ตั้งอยู่กลางน้ำ ทุกหลังมีสระน้ำส่วนตัว หลังคาห้องนอนเลื่อนเปิดปิดได้ และมีสไลเดอร์ลงสู่ทะเล พร้อมบริการแบบเป็นส่วนตัวจาก Mr./ Ms. Friday ประจำวิลล่าซึ่งจะดูแลทุกความต้องการของผู้เข้าพัก


    สำหรับ Soneva in Aqua เรือยอช์ต 2 ห้องพักสุดหรู ออกเดินทางจาก Soneva Fushi หรือ Soneva Jani มีบริการให้เช่าเหมาลำเพื่อไปดำน้ำลึกหรือดำน้ำตื้นได้ตามต้องการ

    นอกจากนี้ ทางรีสอร์ตยังมีจอภาพยนตร์กลางแจ้งขนาดใหญ่ หอดูดาวสุดล้ำ ห้องช็อกโกแลตและไอศกรีมโฮมเมด ไวน์กว่า 500 ชนิด มีห้องอาหารถึง 9 ห้อง ที่ตั้งอยู่บนเกาะ และ Out of the Blue อาคาร 2 ชั้นที่ตั้งอยู่กลางน้ำ และยังมีตัวเลือกสถานที่รับประทานอาหารอีกมากมาย

    สำหรับเด็กๆ ทางรีสอร์ตจัดพื้นที่สำหรับให้เพลิดเพลินสนุกสนานไว้ที่ The Den สนามเด็กเล่นขนาดใหญ่สำหรับเด็กๆ มีห้องเลโก้ ห้องแต่งตัว สระว่ายน้ำ 2 สระ สไลเดอร์และอื่นๆ ไว้รองรับกลุ่มครอบครัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ที่รีสอร์ตยังมีสตูดิโอและแกลเลอรี่งานศิลปะที่ทำจากแก้ว ร้านค้า และมีคอร์สสอนวิธีการเป่าแก้วซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากการรีไซเคิลวัสดุต่างๆ มาเป็นการผลิตแก้วขึ้นเป็นชิ้นงานศิลปะที่สวยงาม สร้างความเพลิดเพลินและร่วมปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ไว้ในคราวเดียวกัน

    ทั้งหมดนี้ล้วนตอบสนองปรัชญาของรีสอร์ตที่กำหนดไว้ว่า “ปราศจากข่าวสาร ปราศจากรองเท้า” หรือ No News, No Shoes และไม่มีพิธีรีตองใดๆ เป็นการพักผ่อนในโลกส่วนตัว อยู่กับธรรมชาติที่สวยงามแต่ยังคงเปี่ยมด้วยบริการที่หรูหรา สะดวกสบาย โดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติได้อย่างไม่น่าอัศจรรย์



ภาพ: Soneva



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์’ ตัวจริงรีสอร์ทสำหรับครอบครัวแห่งมัลดีฟส์

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในรูปแบบ e-magazine