‘โรคอ้วน’ ใกล้ตัวกว่าที่คิด! กว่า 50% ของหญิงไทย ‘อ้วนลงพุง’ โดยเฉพาะสาวๆ ในกรุงเทพฯ - Forbes Thailand

‘โรคอ้วน’ ใกล้ตัวกว่าที่คิด! กว่า 50% ของหญิงไทย ‘อ้วนลงพุง’ โดยเฉพาะสาวๆ ในกรุงเทพฯ

FORBES THAILAND / ADMIN
04 Mar 2025 | 12:30 PM
READ 185


เมื่อโรคอ้วนไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพส่วนตัว แต่เป็นวิกฤตระดับชาติที่กระทบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุข สมาพันธ์โรคอ้วนโลกเผย ประชากรโลกกว่า 988 ล้านคนเข้าข่ายโรคอ้วน ส่งผลให้งบประมาณรักษาโรคเบาหวาน-หัวใจ-มะเร็งพุ่งสูง แนะ 5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเลี่ยง ติดมือถือ-หน้าจอ ขยับร่างกายน้อย กินอาหารไม่ดี นอนไม่พอ เครียดสะสม ย้ำ อย่าประเมินสุขภาพแค่ค่า BMI ต้องดู Body Fat และสัดส่วนร่างกายร่วมด้วย


    นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข โรงพยาบาลศรีสุโข จังหวัดพิจิตร และผู้ก่อตั้งมาลิคลินิกเวชกรรม สีลม เผยว่า “ข้อมูลจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลกระบุว่า มีประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคนกำลังมีปัญหาโรคอ้วน ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงไทย 46.4% และผู้ชายไทย 37.8% มีภาวะอ้วนหรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป”

    ในขณะที่ผู้ชายไทย 27.7% มีภาวะอ้วนลงพุงหรือมีรอบเอวตั้งแต่ 36 นิ้ว (90 เซนติเมตร) ขึ้นไป ส่วนหญิงไทยที่มีภาวะอ้วนลงพุงหรือมีรอบเอวตั้งแต่ 32 นิ้ว (80 เซนติเมตร) ขึ้นไปนั้นมีจำนวนมากถึง 50.4% นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงในกรุงเทพมหานครมีความชุกของภาวะอ้วนลงพุงสูงสุด


นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข


    โรคอ้วนไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อย่างมาก เพราะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องอย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล

    โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาเช่นเดียวกับโรคเรื้อรังอื่นๆ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ คนที่เป็นโรคอ้วนยังถูกวินิจฉัยและได้รับการรักษาไม่เพียงพอ เพราะจากสถิติจากวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า จากจำนวนคนที่เผชิญกับโรคอ้วนทั้งหมดนั้น มีประมาณ 40% ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วน และมีไม่ถึง 20% ที่ได้รับการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีที่มีข้อมูลศึกษาชัดเจน และมีเพียง 1.3% เท่านั้นที่ได้รับยาที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคอ้วน

    แนวทางแก้ปัญหาโรคอ้วนในระยะยาว ประชาชนควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับโรคนี้  เนื่องจากล่าสุดมีการกำหนดนิยามโรคอ้วน และประเภทของโรคอ้วนทางการแพทย์ใหม่ โดยเน้นความสำคัญของ Preclinical Obesity หรือภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน ซึ่งควรได้รับการรักษา เช่น คนที่มีภาวะเนื้อเยื่อไขมันมากเกินไป (Excess Adiposity) แต่อวัยวะต่างๆ ยังทำงานได้ปกติ



    “แม้ค่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางไม่ดี และอาจมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เป็นต้น แนวโน้มการรักษาโรคอ้วนควรเริ่มตั้งแต่ระยะแรก แม้ค่า BMI ยังไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งค่าที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงไทยเฉลี่ยคือ 24.4 และชาวไทยคือ 23.1” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าว

    การวินิจฉัยภาวะอ้วนรายบุคคลควรใช้เครื่องมือที่วัดสัดส่วนของไขมันในร่างกายเทียบกับน้ำหนักตัว (Body Fat) ที่ช่วยให้รู้รายละเอียดของมวลกล้ามเนื้อหรือมวลไขมันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น หรือหากไม่สามารถวัด Body Fat ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีวัดสัดส่วนของร่างกาย เช่น การวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายถ้ามากกว่า 36 นิ้ว ถือว่าอ้วนลงพุง ส่วนผู้หญิงมากกว่า 32 นิ้ว นอกจากนี้ สามารถใช้การวัดเส้นรอบเอว (เมตร) หารด้วยเส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด โดยผู้ชายถ้าเกิน 1.0 และผู้หญิงถ้าเกิน 0.8 ถือว่า อ้วนลงพุง

    นายแพทย์ชเนษฎ์ ยังเผยว่า นอกจากกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดจากภาวะอ้วนแล้ว คนเราควรต้องตระหนักถึงโรคอื่นๆ ที่พ่วงมากับความอ้วนด้วย เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาลสำหรับโรคเรื้อรัง



    กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจะมีพฤติกรรม ดังนี้

    1. ไม่ออกกำลังกาย

    2. รับประทานอาหารไม่ดี เช่น มีน้ำตาลสูงเกินไป และรับประทานผักผลไม้ที่มีไฟเนอร์น้อยเกินไป

    3. พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ

    4. คนที่ติดหน้าจออุปกรณ์มือถือตลอดเวลา

    5. มีความเครียดและมีปัญหาโรคทางจิตใจ

    6. กลุ่มคนที่ได้รับยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาคุมประเภทฮอร์โมนเดียวแบบโปรเจสเตอโรน, ยากันชัก, ยาเบาหวานและความดันบางชนิด และคนที่มียีนโรคอ้วน

    “หากใครรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง แต่หากเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม หรือภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ ก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย


ภาพ: โรงพยาบาลศรีสุโข


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : IdeasLabs เผยมูลค่าตลาด KOLs ในไทยปี 2024 สูงกว่า 10,000 ล้านบาท ปีนี้มีแนวโน้มเติบโตเพิ่ม 25%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine