Salvia (ซาลเวีย) ห้องอาหารอิตาเลียนแห่งใหม่ของโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2563 ในบรรยากาศสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นตามสไตล์ร้านอาหารประเภท Osteria ในอิตาลี
สำหรับร้านอาหารแห่งนี้ ได้เชฟ Roberto Parentela ชาวอิตาเลียน ผู้เคยฝากผลงานไว้ที่ร้านกึ่งบาร์ของทางโรงแรมอย่าง Spasso (สปาร์ซโซ) มาเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ตั้งแต่การรังสรรค์เมนูอาหาร ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาหารสไตล์พื้นเมืองของแคว้น Piemonte ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี มาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำอาหารอิตาเลียนรสชาติต้นตำรับ โดยเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจาก 2 แหล่ง คือ วัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศและวัตถุดิบที่คัดสรรจากท้องถิ่นทั่วประเทศ มานำเสนอในราคาจับต้องได้
เชฟ Roberto Parentela เริ่มต้นเสิร์ฟมื้ออาหารด้วย complimentary เป็น Foccacia ขนมปังโฮมเมดชิ้นโตที่สอดไส้ด้วยมะเขือเทศสดและชีสที่หอมนุ่ม ทานคู่กับน้ำมันมะกอกและบัลซามิกคุณภาพดี พร้อมกับ amuse-bouche ที่เชฟขอนำเสนอในรูปของขนมปังลูกเต๋าชิ้นเล็กพอดีคำ ท็อปด้วยเปเปอโรนี และน้ำซอสสีเหลืองสูตรพิเศษ เพื่อเรียกน้ำย่อยระหว่างรอเมนูอาหารจานเดียว (a la carte)
เริ่มต้นเมนูแรกที่ Prosciutto cotto โฮมเมดแฮมสไลด์บางที่นำไปต้มกับใบเสจ (sage) สมุนไพรซึ่งมีความหอมเป็นเอกลักษณ์ ทานคู่กับเนยสไตล์อิตาเลียนที่คัดสรรมาจากเกาะ Sardinia เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลีและเป็นบ้านเกิดของเชฟ Roberto และวางลงบนขนมปังโทสต์กรอบนอกนุ่มใน แนะนำให้ทานขณะยังร้อนๆ โดยตัวขนมปังชิ้นโตนี้ทำมาจากแป้งซีโมลินา (semolina) ซึ่งเป็นแป้งสาลีชนิดหนึ่งที่มีสีเหลืองอ่อน อุดมไปด้วยธัญพืช มีรสชาติจืด จึงตัดกันได้ดีกับความเค็มของแฮม และท็อปด้วยผักดองรสเปรี้ยวอมหวาน เพื่อเพิ่มอรรถรสให้ดียิ่งขึ้น มาต่อกันที่ Burrata e pomodori สลัดชามโตซึ่งใช้ บูราต้าชีสสไตล์อิตาเลียน ที่นิยมนำมาประกอบอาหารทางตอนใต้ของประเทศ โดยความพิเศษของบูราต้าชีสของทางร้านเป็นสูตรพิเศษ ที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นร่วมกับผู้ผลิตชีสท้องถิ่นจากอำเภอหัวหิน จึงมีรสชาติหอมมันกำลังดี คลุกเคล้ากับมะเขือเทศออร์แกนิกเนื้อสีแดงที่ส่งตรงจากเชียงใหม่ แล้วจึงเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้นด้วยแอนโชวี่ชั้นดี ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทางร้านตั้งใจเพิ่มเข้ามาโดยเฉพาะ เพื่อให้สลัดชามนี้ไม่เลี่ยนจนเกินไป เพราะมีทั้งรสเค็มจากแอนโชวี่ ที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับมะเขือเทศ หอมแดงและมะกอก ซึ่งตัดความหวานมันของชีสได้เป็นอย่างดีอีกหนึ่งไฮไลท์ของร้านที่แนะนำให้ลอง คือ Portobello alla griglia ประกอบด้วยเห็ดพอร์โตเบลโลสีน้ำตาลชิ้นโต มีเนื้อสัมผัสหนานุ่มส่งตรงจากสวนเห็ดที่ปลูกในพื้นที่เขาใหญ่ นครราชสีมา ที่ผ่านกรรมวิธีย่างจนสุก คลุกเคล้ากับผักร็อกเก็ตที่ทานเดี่ยวๆ ก็อร่อย เพราะมีรสชาติเฉพาะตัวที่มีความเผ็ดนิดๆ คล้ายพริกไทย ผสมผสานให้เข้ากันกับพริกหยวกชิ้นพอดีคำ และปรุงรสด้วยกระเทียม น้ำส้มสายชู และน้ำมันวอลนัทอย่างลงตัว แต่เพื่อความพิเศษยิ่งขึ้น เชฟจึงเลือกที่จะท็อปด้านบนด้วย "หนึ่งในชีสแข็งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก" และมีต้นตำรับอยู่ในแคว้น Piemonte ซึ่งก็คือ กราน่า พาดาโน่ชีส ที่ใช้นมวัวเข้มข้นมาผลิตจนได้ชีสเนื้อแข็ง รสชาติหวาน เนื้อสัมผัสมีความกรุบกรอบ และจะอร่อยที่สุดก็ต่อเมื่อบ่มไว้มากกว่า 30 เดือนขึ้นไป เพราะจะทำให้รสชาติละมุนขึ้น ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ชอบทานผักยังรู้สึกประทับใจในรสชาติเลยทีเดียว
ขณะที่เมนูเส้นที่พลาดไม่ได้อย่าง Fusilli caserecci al ferretto พาสต้าเส้นฟูซิลลีที่ไม่ได้มาในรูปแบบเกลียว แต่เป็นเส้นโฮมเมดแบบยาวและหนานุ่มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมซอส Lamb Ragu ที่เคี่ยวกับมะเขือเทศนานถึง 4 ชั่วโมงจนได้เนื้อที่นุ่ม และท็อปด้วยริคอตต้าชีสจากอิตาลี จนกล่าวได้ว่าทั้งเส้นและเครื่องคืออัดแน่นจริงๆ โดยสูตรนี้เชฟ Roberto กล่าวกับ Forbes Thailand ว่า เป็นสูตรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณยายของเขาเอง
ถัดมาเป็น Tagliata di manzo เมนูสเต็กเนื้อ Grass-Fed Australian Angus Rib Eye หนัก 350 กรัม ถือเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน ผ่านการ sous-vide หรือการทำให้สุกด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าการปรุงอาหารประเภทอื่น จนได้เนื้อที่นุ่มเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีน้ำชุ่มฉ่ำในตัวเนื้อกำลังดี จัดเสิร์ฟบนเตาย่างที่เพิ่มอรรถรสของชิ้นสเต็กให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ด้วยการรมควันจากเถาวัลย์ต้นองุ่นแห้งที่ส่งตรงจากไร่ GranMonte Vineyard and Winery อันมีกลิ่นควันหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากนั้นนำไปหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อให้สะดวกต่อการรับประทาน และจัดวางมาพร้อมสลัดร็อคเก็ต มะเขือเทศ และชีส เพื่อให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งเมนูแนะนำสำหรับคนชอบทานเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบอย่าง Carpaccio di manzo เนื้ออิมพอร์ตจากอิตาลี หมักด้วยเกลือและสมุนไพรกว่า 3 สัปดาห์ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย เลม่อน และน้ำส้มสายชูบัลซามิก เสิร์ฟพร้อมผักร็อกเก็ตและกราน่า พาดาโน่ชีส แผ่นบางจากอิตาลี
และสำหรับเมนูอาหารจานหลัก ปิดท้ายแบบเบาๆ ด้วย Frittura di calamari e verdure ปลาหมึกและผักทอดกรอบ ที่เชฟเลือกใช้น้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืชในการทอด เหมาะกับการทานขณะร้อนๆ เพื่อให้ได้รสสัมผัสความกรอบนอกทว่านุ่มใน เสิร์ฟพร้อมซอสโฮมเมด Basil Aioli ที่คล้ายกับมายองเนส เพื่อให้สอดรับกับรสชาติของคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมการกินในอิตาลีที่จะเพิ่มรสชาติด้วยการบีบเลม่อนใส่ลงไป
ปิดท้ายด้วย 2 เมนูขนมหวานสไตล์อิตาเลียนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก นั่นคือ Tiramisu ที่กลมกล่อมและลงตัวจากช็อตเอสเพรสโซ หอมกลิ่นมาสคาร์โปนชีส และบรั่นดี Amaretto ท็อปด้วยผงโกโก้ จนเป็นขนมหวานที่อร่อยครบทุกรสในคำเดียว ส่วนอีกเมนูแนะนำคือ Panna cotta al forno ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม หอมและหวานจากคาราเมลกำลังดี
นอกจากเมนูอาหารจานหลักและของหวานแล้ว ทาง Salvia ยังมีเครื่องดื่มเย็นที่สร้างความสดชื่นและเจริญอาหาร อาทิ Italian sodas ได้แก่ S.L.S Salvia lemon dash of salt, Passion fruit thyme, Strawberry และ Peach & lime ไปจนถึง Italian wines, Ice cold craft beers, Martinis และ Negronis ที่คิดค้นสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่มของโรงแรมโดยเฉพาะ
ชื่อร้าน: ซาลเวีย
สไตล์: อิตาเลียน
พิกัด: 494 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
วัน/เวลาทำการ: เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11.30-14.30 น. และมื้อค่ำ 18.30-22.30 น. (ทางร้านพร้อมให้บริการห้องอาหารส่วนตัว บริการส่งอาหารถึงบ้าน และบริการสั่งกลับบ้านเช่นกัน)
ราคา: 500-1,000 บาท
เรื่อง: ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัคภาพ: กิตติเดช เจริญพร