หากใครได้แวะเวียนไปแถวถนนสุขุมวิทคงสะดุดตากับอาคารร่วมสมัยสไตล์ยูเรเชียสีครีมสวยสง่าที่ตั้งอยู่โดดเด่นท่ามกลางตึกระฟ้าสมัยใหม่ นั่นคือสำนักงานแห่งแรกในเมืองไทยของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ หรือ SCB Julius Baer ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งภายใต้กลุ่ม SCBX ไม่เพียงแต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่สะท้อนผ่านตึกออฟฟิศอันหรูหรา ภายในอาคารยังพรั่งพร้อมไปด้วยบริการเหนือระดับจากที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งระดับสูง ทั้งการบริหารการเงินส่วนบุคคลและแนวทางสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว ภายใต้การนำของซีอีโอหญิงผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการ Wealth Management มาอย่างยาวนาน “ลลิตภัทร ธรณวิกรัย”
ธุรกิจเติบโตท่ามกลางวิกฤต
SCB Julius Baer หรือบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 60% และจูเลียส แบร์ (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้มากว่า 130 ปี ถือหุ้นในสัดส่วน 40%
แม้ธนาคารไทยพาณิชย์จะมีธุรกิจ Private Banking ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งอยู่แล้ว แต่ SCB Julius Baer จะเน้นต่อยอดการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นให้กับพอร์ตลงทุนของลูกค้า โดยลูกค้าของ SCB Julius Baer ต้องมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (Asset Under Management; AUM) อย่างน้อย 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 100 ล้านบาท
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ตลาดการลงทุนทั่วโลกอยู่ในภาวะผันผวนจากปัจจัยลบและความไม่แน่นอนมากมาย โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูง ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อนำโดยธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนก็เป็นอีกปัจจัยที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุน
ดังนั้น การลงทุนในต่างประเทศนับว่าเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับ Investment Portfolio ของลูกค้าในระยะยาว และเป็นการปกป้อง Portfolio จากความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี ทำให้ Total Investment Portfolio ของลูกค้ามีเสถียรภาพมากขึ้น
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/12/8fZXRpZjiXQxFELe9s6K.jpg)
ครบทุกบริการทางการเงิน
กลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง SCB Julius Baer ให้คำนิยามว่าเป็น Global Citizen ซึ่งมีศักยภาพในการใช้ชีวิต ทำธุรกิจ และลงทุนอย่าง Borderless ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญของ SCB Julius Baer ผสานความแข็งแกร่งของเครือข่าย กลุ่มธุรกิจการเงินภายใต้กลุ่ม SCBX เราจึงสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและเป็นบริการที่ออกแบบมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย (Personalized) และมีความพิเศษเฉพาะบุคคล (Tailored Made)
โดยนอกเหนือไปจากการให้บริการด้าน Wealth Management การบริหาร Investment Portfolio แล้ว อีกหนึ่งบริการที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ Wealth Planning ซึ่งหมายถึง Family/ Business Succession Planning โดยเริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจกับความต้องการโดยเฉพาะของแต่ละครอบครัว และหาแนวทางการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ผ่านบริการหลากหลายที่ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลรักษาทรัพย์สินทั้งส่วนตัวและส่วนของธุรกิจ การจัดตั้งและบริหารจัดการสำนักงานครอบครัว (Family Office) การจัดทำธรรมนูญครอบครัว (Family Constitution หรือ Family Charter) การให้คำแนะนำด้านกฎหมาย (Legal Advice) ตลอดจนการวางแผนจัดการมรดกและการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น (Wealth Transfer) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้กับลูกค้า และรักษาการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน
กลุ่มของลูกค้า SCB Julius Baer
กลุ่มลูกค้าหลักของ SCB Julius Baer ส่วนใหญ่นั้นเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งมีตั้งแต่ผู้ก่อตั้งบริษัท (Founder), Generation ที่ 2 ที่ 3 ตลอดจน Next Generation รุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทในการบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว จากการดูแลและให้คำปรึกษากับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องนั้น SCB Julius Baer เริ่มเห็นว่ากลุ่มคนที่เข้ามาดูแลบริหารความมั่งคั่งของครอบครัวโดยส่วนใหญ่เริ่มมีอายุเฉลี่ยที่น้อยลง และมีความต้องการที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่มากขึ้นและลึกขึ้น เห็นได้จากการที่ลูกค้ากลุ่ม Founder เองเริ่มส่งทายาทเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยและเริ่มศึกษาเรื่องของการลงทุนอย่างจริงจังมากขึ้น โดยที่ทาง SCB Julius Baer เองในปีนี้ก็มีแผนที่จะจัดทำโครงการอบรมพิเศษให้กับลูกค้ากลุ่ม Next Generation ให้มีความรอบรู้และมีความพร้อมในการที่จะขึ้นมารับบทบาทสำคัญต่อจากครอบครัว
โอกาสและความท้าทายปี 2566
ในปี 2566 SCB Julius Baer มีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วน Portfolio Investment และ Wealth Planning ซึ่งภาพรวมการลงทุนในปีนี้นั้นมีทั้งโอกาสและความท้าทายรออยู่ โดยมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีการปรับตัวลดลงอย่างหนักในปีที่ผ่านมาจากปัจจัยลบและแรงกดดันต่างๆ โดยเฉพาะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากภาวะเงินเฟ้อที่สูง ทำให้เกิดการรีเซ็ตหรือปรับมูลค่าของสินทรัพย์ (Valuation Reset) และมองว่าในปี 2566 โอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงต่อแบบในปีที่ผ่านมานั้นจำกัด อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นยังคงเน้นในกลุ่ม Defensive Quality หรือหุ้นกลุ่มที่มีคุณภาพและธุรกิจที่มีกระแสเงินสดที่ดี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่แข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสูง (Resilient Corporate Earnings) ซึ่งทนทานต่อภาวะที่อาจจะเกิด Recession ได้ ในส่วนของตลาดตราสารหนี้คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะทำจุดสูงสุด ทำให้ High Quality Bonds มีความน่าสนใจเนื่องจากให้ผลตอบแทนในระดับสูงกว่าในอดีตจึงควรลงทุนเพื่อ Lock in Quality Yield
อย่างไรก็ตามตลาดการลงทุนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้นักลงทุนควรลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invest) และสร้างพอร์ตการลงทุนที่คำนึงถึงความเสี่ยง (Risk based allocation) เพื่อสร้างความมั่นคงทนกับสภาวะความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว นอกจากนี้ SCB Julius Baer ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์เป็นหลักในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ESG (Environment, Social, Governance)
ในส่วนของ Wealth Planning เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น การเติบโตธุรกิจในส่วนนี้จึงยังมีโอกาสอีกมาก ด้วยความเชี่ยวชาญและบริการที่ครบครัน SCB Julius Baer เชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้า และสร้างความมั่นคงให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว