Destination Capital ร่วมกับ KTBST SEC ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการทรัสต์ Private Equity Trust โดยมี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะทรัสตี ในกรอบการลงทุนระยะเวลา 5 ปี คาดให้ผลตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี
“จากวิกฤตต่างๆ นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำ ไล่เรียงจนกระทั่งโรคซาร์หรือการชุมนุมทางการเมือง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบและฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่กระจายโควิด-19 ถือเป็นวิกฤตระดับโลกและไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จุดแข็งด้านวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวและบริการที่พัก เราคาดการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะกลับมาในจุดเดิมราว 4 ปี ข้างหน้า” James caplen ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล พีทีอี จำกัด กล่าวและเสริมว่า “ในช่วงวิกฤตที่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระดมทุม ซึ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ผู้ประกอบการบางรายต้องหยุดกิจการโรงแรมและบางรายขาดสภาพคล่องทางการเงิน ทั้งๆ ที่ธุรกิจของตนเองยังมีศักยภาพในการเติบโต จึงเป็นโอกาสในการก่อตั้ง ไพรเวท อิคลิปตี้ ทรัสต์ เดสแคป 1 เพื่อระดมทุมราว 2.5 พันล้านบาท โดยเน้นที่ผู้ลงทุนในกลุ่มสถาบัน หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNWI) ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทต่อราย หากผู้ลงทุนไม่ถึงมูลค่าขั้นต่ำสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ โดยในช่วงเวลานี้เดินสายไปยังกลุ่มนักลงทุนชาวไทยเป็นหลัก โดยคาดให้ผลตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี” James Kaplan ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Destination Capital PTE. เผยว่า เราเป็นบริษัทในฐานะบริษัทในกลุ่ม เดซติเนชั่น กรุ๊ป ทีมีเฮดควอเตอร์อยู่ที่สิงคโปร์ เป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการโรงแรมที่มีศักยภาพในการพัฒนา ปรับปรุงฟื้นฟู และบริหารโรงแรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ รวมไปถึงการขายต่อกิจการ ด้าน ศุภกิจ เอี่ยมสำอางค์ รองประธานอาวุโส บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เดซติเนชั่น แคปปิตอล ในฐานะผู้บริหารจัดการสินทรัพย์ เราได้ตั้งทรัสต์กิจการร่วมลงทุน DESCAP1 โดยเป้าหมายการระดมทุมที่เป้าหมาย 2.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าเข้าซื้อกิจการราว 8 แห่งในประเทศไทยเพื่อเข้ากองทุนดังกล่าว โดยปัจจุบัน ได้เข้าซื้อกิจการแล้ว 3 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่เป้าหมายของบริษัทคือ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต โดยมุ่งเป้าไปที่โรงแรมหรือรีสอร์ทที่มีมูลค่าราว 600-1,500 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการ โดยกลยุทธ์หลักภายหลังการเข้าซื้อกิจการคือการพัฒนาและสร้างมูลค่าด้วยหลัก 5 R อันนี้ได้แก่ Renovate, Rebuild, Rebrand, Reposition, Recapitalize และ Asset Management รวมถึงการนำโปรแกรมความยั่งยืนที่ได้การรองรับจาก International Financial Corporation หรือ IFC ที่เรียก EDGE ในการลดปริมาณ Carbon Footprint James Kaplan กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 24 ปีในประเทศไทย เราได้สร้างผลงานทีโดดเด่นจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศไทย ด้วยการปรับปรุงรูปลักษณ์ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของธุรกิจโรงแรม รวมไปถึงการจัดหาเงินทุน และการบริหารจัดการสินทรัพย์ เห็นได้จากการเข้าซื้อโรงแรมระดับ 4 ดาว ในชื่อแบรนด์ Melia Hotel ที่ประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤตการเงินในปี 2540 และขายทรัพย์สินออกไปในปี 2557 ภายใต้แบรนด์ “ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์สปา" ด้าน ฐิติพัฒน์ ทวีสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Corporate Finance Solutions & REIT บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KTBST SEC ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้จัดการทรัสต์ กล่าวว่า จุดเด่นของทรัสต์เพื่อกิจการร่วมลงทุน เดสแคป วัน เด่นการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์โรงแรม ที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในราคาที่ต่ำโดยตั้งเป้าเข้าซื้อในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ในภาวะปกติ “ประสบการณ์ของบริษัท เดซติเดชั่น แคปปิตอลฯ เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยวิธีการปรุงสินทรัพย์และเปลี่ยนภาพลักษณ์ทางการตลาด ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ และมีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สมเหตุผล ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย” ฐิติพัฒน์ ทวีสิน กล่าว ด้านโครงการสร้างการลงทุนเริ่มต้น Destination Capital จะลงทุนซื้อหน่วยทรัสต์ด้วยมูลค่าร้อยละ 5 ขณะที่สัดส่วนการระดมทุนจากสถาบันการเงินและกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่อยู่ที่ราวร้อยละ 65 โดยในส่วนที่เหลือจะคาดจะเป็นเงินลงทุนจากสถาบันการเงินที่เป็นเงินกู้ (แบบมีประกัน) ของมูลค่า Private Equity Trust ที่มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ช่วงท้าย James caplen เผยว่าย้ายมาอยู่เหมือนไทย ตั้งปี 2521 ประเทศไทยผ่านวิกฤตการณ์มาหลากหลายไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง การลอบวางระเบิดจากกลุ่มไม่ประสงค์ดี และล่าสุดกับสถานการณ์โควิด-19 ในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ และตนเองกลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติได้เสมอ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในทั่วโลกก็เช่นกัน ผมคงไม่มาอยู่ในจุดของการลงทุนในครั้งนี้ถ้าไม่เชื่อมั่นในการท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือการแพร่กระจายของสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากที่สุดในช่วงเวลา 30 ปี ที่ผ่านมาเป็นวิกฤตที่กระทบกับคนทั้งโลก สายการบินต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักถึงขั้นล้มละลาย ธุรกิจโรงแรมไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียวซึ่งแตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่ยังพอดีรายได้เข้ามาบ้าง โดยสถานการณ์การแพร่กระจายของไวรัสยังมีทีท่ารากยาว และสุดท้ายผู้คนต่างกลัวการติดเชื้อไวรัสจากการเดินทาง แต่สุดท้ายแล้วพฤติกรรมของมนุษย์จะก้าวข้ามความหวาดระแวงในที่สุดแต่อาจจะใช้เวลาสักระยะ “โลกของการท่องเที่ยวหลังโควิดจะเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวจะเดินทางในรูปแบบครอบครัวมากขึ้น แต่ละทริปการเดินทางจะยาวนานมากขึ้น เพราะในช่วงของการเก็บอยู่กับบ้านใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นและเรียนรู้กันมากขึ้น” James caplen กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “ในประเทศไทย 7/11 มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณสามารถทำหลายสิ่งได้ในร้านไม่ว่าจะจ่ายบิล ซื้ออาหาร พบปะผู้คน ในทฤษฎี 7/11 ของผมที่อยากจะแบ่งปัน ถ้าวันหนึ่งเราพบว่า ร้าน 7/11 ปิดนี้คือปัญหาใหญ่ที่สุด เราได้เห็นร้าน 7/11 ปิดในภูเก็ตเนื่องจากไม่มีความต้องการในสินค้าไม่มีผู้มีกำลังซื้อ ซึ่งนี้คือปัญหา และเมื่อใดที่ 7/11 เปิดทำการอีกนั่นหมายความว่าเศรษฐกิจกำลังกลับมา” *ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน* อ่านเพิ่มเติม: Kasa Living สตาร์ทอัพ ที่จะเข้ามายกระดับ Airbnb ให้ดีกว่าเดิมไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand