ลดต้นทุน “สังคมเงินสด”
การเข้าสู่สังคมไร้เงินสดจะทำให้ต้นทุนด้านการลงทุนลดต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการผลิตธนบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย ไปจนถึงการขนย้ายเงินไปยังธนาคาร ปัจจุบันธนาคารในประเทศไทยมีต้นทุนทางการเงินจากการบริหารจัดการเงินสดทั้งระบบของประเทศไทยในแต่ละปีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านบาท ตั้งแต่การให้บริการตู้กดเงินสดอัตโนมัติหรือ ATM รวมกันราว 50,000 ตู้ ซึ่งหากนับเฉพาะต้นทุนตู้กดเงินสดอัตโนมัติเพียงอย่างเดียว จะมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท โดยยังไม่นับรวมค่าติดตั้งหรือจำนวนธนบัตรที่รอจ่ายภายในตู้ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตบัตรเครดิต บัตรเดบิต มีมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยตั้งแต่ปี 2556 มีบัตรเครดิตเกิดใหม่เฉลี่ย 3% ต่อปี สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2560 มีจำนวนบัตรเครดิตที่เกิดขึ้นแล้ว 19.8 ล้านใบ นอกจากต้นทุนทางการเงิน วัตถุประสงค์หลักของการสร้างสังคมไร้เงินสดคือ การเข้าถึงธุรกรรมและบริการทางการเงินของกลุ่มคนทุกกลุ่มและชนชั้น อาทิ กลุ่มคนที่ไม่สามารถระบุเส้นทางทางการเงิน เงินทุนหมุนเวียน รวมไปถึงต้นทุนและกำไรจากการค้าขาย โดยการชำระบริการหรือการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้สถาบันการเงินสามารถรับรู้ข้อมูลทางการเงินของผู้กู้ได้ ในขณะที่ร้านค้าเองสามารถมีช่องทางการชำระมากไปกว่าเงินสดหรือบัตรเครดิต รวมไปถึงมิติความสะดวกสบายทางด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นจาก PromptPay และ Standard QR Code ทว่า ภายใต้ความสะดวกสบายก็แฝงด้วยข้อกังวลจากหลายฝ่ายว่า การเข้าสู่สังคมไร้เงินสดจะนำมาซึ่งอันตรายและความเสียหายจากการโจรกรรมข้อมูลทางด้านการเงิน รวมทั้งความเป็นส่วนตัวทางด้านการเงินสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Forbes Thailand ได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะสื่อมวลชนร่วมเปิดประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีและการเกิดใหม่ของนวัตกรรมทางการเงินและบริการจากสำนักงาน IBM, MasterCard และ VISA พร้อมกับทีมผู้บริหารกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่นำโดย ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แม้ทั้งสามบริษัทจะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น พวกเขาเองมีความจำเป็นที่ต้องปรับตัวตามกระแสเช่นกัน โดยตลอดระยะเวลาการก่อตั้ง IBM ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองมาโดยตลอด IBM ปรับเปลี่ยนตัวเองใน 3 เรื่อง คือ การสร้างเทคโนโลยีล้ำสมัย การแข่งขันกับคู่แข่งจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างออกไป และการสร้างการให้บริการที่ตรงจุดลูกค้ายิ่งขึ้น โดยมี IBM Studio เป็นที่ตั้งของ IBM Watson Center, IBM Bluemix Garage และ IBM Interactive Experience Center (iX) เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษา กิจกรรม และเวิร์คช็อปเฉพาะทางสำหรับกลุ่มผู้คิดค้นนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นบริษัท สตาร์ทอัพ หรือนักพัฒนา IBM มองว่า 88% ของข้อมูลที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้เป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างครอบคลุมและคอมพิวเตอร์ทั่วไปยังไม่มีความสามารถในการเข้าใจความหมายของข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเติบโตจนมีปริมาณถึง 44 เซตตะไบท์ภายในปี 2563 ขณะที่ปัจจุบันมีองค์กรเพียง 15% เท่านั้นที่สามารถนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงลึกมาใช้ประโยชน์จริง จึงเป็นที่มาของ IBM ในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเรียกว่า cognitive computing ที่ชื่อ IBM Watson โดย IBM Watson จำลองกระบวนการคิดของมนุษย์และเรียนรู้ได้อย่างไม่สิ้นสุดพร้อมผสานความสามารถ 5 แขนงประกอบด้วย การวิเคราะห์ big data การสร้างปัญญาประดิษฐ์ การสร้างระบบที่เข้าใจภาษาธรรมชาติภาพและเสียงแบบเดียวกับมนุษย์ การสร้างระบบองค์ความรู้และความเข้าใจในบริบทความรู้ และโครงสร้างพื้นฐานและพลังการประมวลผลขั้นสูงAI ผสานโลกการเงิน
ปัจจุบัน IBM Watson ถูกนำไปใช้แล้วในกว่า 20 อุตสาหกรรมจาก 45 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย อาทิ- askPRU ของ Prudential โดยเป็นการพัฒนา AI chatbot ร่วมกับ NCS และ Nokomai Studios ทำหน้าที่ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินผ่านแอพพลิเคชั่น ทำให้สามารถดึงข้อมูลกรมธรรม์ วันครบกำหนดชำระเบี้ย สถานะการเคลม และสามารถสร้างใบเสนอราคาได้ภายใน 3 วินาที
- ร่วมมือกับ H&R Block ผู้ให้บริการด้านภาษีสำหรับผู้บริโภค ประมวลข้อมูลความรู้ด้านภาษีนับพันรายการ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีของ H&R Block สามารถตรวจสอบความเป็นไปได้อื่นๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถได้รับเงินคืนภาษีเพิ่มเติมหรือเสียภาษีลดลง
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล นำ IBM Watson ไปใช้เพื่อหาแนวทางเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง
- ปตท. นำเทคโนโลยี IBM Watson IoT มาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
คลิกเพื่ออ่าน "ไทยเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสด" ฉบับเต็ม จาก Forbes Thailand ประจำเดือนพฤศจิกายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine