มาสเตอร์การ์ด ประกาศเปิดตัว Start Path โปรแกรมสำหรับสตาร์ทอัพเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล บล็อกเชน และบริษัทคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เผยมีธุรกิจสตาร์ทอัพเจ็ดแห่งเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ
แซนดีป มัลโฮทรา รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านการชำระเงินแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มาสเตอร์การ์ดมุ่งมั่นมอบตัวเลือกด้านการชำระและรับชำระเงินให้แก่ผู้คนและธุรกิจต่างๆ โดยนำเสนอตัวเลือกใหม่ๆ อันได้แก่ สกุลเงินคริปโต การจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์และสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้เครือข่ายของมาสเตอร์การ์ดมีศักยภาพมากขึ้นในอนาคต โดยทำให้มาสเตอร์การ์ดเป็นผู้ที่ถือสิทธิบัตรบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมการชำระเงิน และครอบคลุมธุรกิจทุกภาคส่วน แต่มาสเตอร์การ์ดไม่สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายนี้ได้โดยผู้เดียว นี่คือสาเหตุที่มาสเตอร์การ์ดหมั่นค้นหาวิธีการสนับสนุนและชักชวนผู้เล่นใหม่ๆ อาทิ กลุ่มสตาร์ทอัพคริปโตทั้ง 7 รายเข้ามาร่วมงานผ่านโปรแกรม “Start Path Crypto” มาสเตอร์การ์ดจะได้ร่วมงานกับสตาร์ทอัพที่มีอนาคตไกลในระดับโลกเหล่านี้ เพื่อร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของอุตสาหกรรม พร้อมกับแบ่งปันความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาหลายสิบปีและเครือข่ายระดับโลกของมาสเตอร์การ์ดกับธุรกิจเหล่านี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถขยายตัวและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นการแบ่งปันข้อมูลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ผู้บริโภคร้อยละ 45 ในเอเชียแปซิฟิกแสดงความสนใจที่จะใช้สกุลเงินคริปโตในปีนี้ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มจากร้อยละ 12 ที่ได้ใช้สกุลเงินคริปโตแล้วในปีที่ผ่านมา ข้อมูลดังกล่าวออกมาในเวลาเดียวกันกับที่ความกระตือรือร้นในการใช้เทคโนโลยีด้านการชำระเงินพุ่งสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เนื่องมาจากสถานการณ์การระบาด ยิ่งไปกว่านั้นดัชนีผลสำรวจการชำระเงินวิถีใหม่ของมาสเตอร์การ์ด Mastercard New Payments Index ยังเผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีความสนใจใช้คริปโตเคอร์เรนซีในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน การสำรวจยังระบุด้วยว่าระดับความสนใจในการใช้สกุลเงินคริปโตพุ่งสูงสุดในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทย โดยร้อยละ 46 ของผู้บริโภคในไทยรู้สึกสะดวกใจที่จะใช้สกุลเงินคริปโตในการซื้อขายสินค้าต่างๆ เทียบกับผู้บริโภคเพียงร้อยละ 40 ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและระดับโลก ไอลีน ชูว ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเปลี่ยนระบบความคิดและรูปแบบการทำงานไปเป็นแบบ “digital by default” อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นร้อยละ 96 ของผู้คนในประเทศไทยจะพิจารณาใช้ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ๆ อย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ อาทิ คิวอาร์โค้ด กระเป๋าเงินดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี ไบโอเมตริก และอื่นๆ ในปีหน้า เพื่อรักษาความสามารถของบริษัทในการตอบโจทย์ความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภค มาสเตอร์การ์ดมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นและโปรแกรมที่เชื่อมโยงหลักการด้านการเงินในกระแสหลักเข้ากับนวัตกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสร้างระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ทุกคนสามารถใช้ได้ในทุกๆ ที่” ทั้งนี้ธุรกิจสตาร์ทอัพ สินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนซึ่งมีการเติบโตรวดเร็วอื่นๆ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม “Start Path” ได้แก่: 1.Mintable (สิงคโปร์) สตาร์ทอัพจากสิงค์โปร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นมาร์เก็ตเพลสสำหรับโทเคน NFT หรือ Non-Fungible Token ที่ซึ่งผู้ใช้สามารถสร้าง ซื้อ และขายสินทรัพย์ทั้งที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ทั่วไป อาทิ ของสะสมดิจิทัล งานศิลปะสไตล์อวองต์-การ์ด และดนตรี บนมาร์เก็ตเพลสที่ได้รับการรองรับโดยเทคโนโลยีบล็อกเชน แพลตฟอร์ม Mintable เต็มไปด้วยฟังก์ชันใหม่ๆ อาทิ การผลิตเหรียญดิจิทัลซึ่งไม่เกิดมลภาวะ และการซื้อขายเครดิตการ์ด ฟังก์ชันเหล่านั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อให้บุคคลทั่วไปนำ NFT ไปใช้ได้โดยไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับคริปโตหรือการเขียนโค้ด STACS เป็นสตาร์ทอัพจากสิงค์โปร์ที่นำเสนอโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่อุตสาหกรรมการเงินและช่วยให้กระบวนการดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ลูกค้าและพันธมิตรของ STACS มีทั้งธนาคารระดับโลก ตลาดหุ้นระดับประเทศและผู้จัดการสินทรัพย์ 2.GK8 (อิสราเอล) แพลตฟอร์มที่ให้บริการดูแลและรับฝากทรัพย์สินประเภทคริปโตเคอร์เรนซี (crypto custody) ผ่านการเข้ารหัสแบบ end-to-end ด้วยตนเอง ที่นำเสนอบริการตู้นิรภัยแบบ Air Gap อย่างแท้จริง ทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถสร้าง ลงนาม และส่งต่อการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนได้โดยไม่ต้องรับข้อมูลจากระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ลดความเสี่ยงจากการโจมตีจากไซเบอร์ไปโดยปริยาย 3.Domain Money (สหรัฐอเมริกา) กำลังวางแผนสร้างแพลตฟอร์มด้านการลงทุนรุ่นใหม่ ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงช่องว่างระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลและระบบการเงินแบบดั้งเดิมสำหรับนักลงทุนด้านการค้าปลีก 4.Uphold (สหรัฐอเมริกา) แพลตฟอร์มประเภท Cryto-Native สำหรับสินทรัพย์และสกุลเงินดิจิทัลหลากหลายรูปแบบ นำเสนอบริการด้านการลงทุนและการชำระเงินสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจทั่วโลก ประสบการณ์ซื้อขายแบบ Anything- to-Anything ของ Uphold ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินทรัพย์ประเภทต่างๆได้โดยตรง ผ่านการชำระเงินแบบที่ฝังอยู่ในระบบ สำหรับอนาคตที่ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านการเงินได้โดยสะดวก 5.SupraOracles (สวิตเซอร์แลนด์) เป็นตัวกลางระหว่างเครือข่ายบล็อกเชนกับข้อมูลภายนอก (blockchain oracle) ที่ทำหน้าที่ช่วยธุรกิจในการเชื่อมโยงข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริงกับธุรกิจภาครัฐและเอกชน ทำให้สมาร์ท คอนแทรกที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ส่งผลให้ตลาดการเงินดำเนินงานได้อย่างเรียบง่ายและมีอนาคตที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น 6.Taurus (สวิตเซอร์แลนด์) นำเสนอโครงสร้างพื้นฐานระดับองค์กร เพื่อจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ ก็ตามที่ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มเดี่ยวๆ อันได้แก่ สินทรัพย์คริปโต สกุลเงินดิจิทัล และสินทรัพย์โทเคน รวมถึงการตีพิมพ์ การดูแล การจัดการและการซื้อขายสินทรัพย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและบล๊อกเชนที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Start Path มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาต่างๆ อันได้แก่ กระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การดูแลความปลอดภัยด้านดิจิทัล และการเข้าถึงระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ อ่านเพิ่มเติม: ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ วางเป้า “ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย” ผนึกรัฐ-เอกชน ยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine