สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน : ICI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 124.3 ด้าน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายน 64 อยู่ในเกณฑ์ไม่เปลี่ยนแปลง
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 144.37 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 124.3 จากเกณฑ์ซบเซาในเดือนก่อนมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” โดยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนจากการสำรวจครั้งนี้กลับไปอยู่ในระดับเทียบเท่ากับผลสำรวจในช่วง 6 เดือนก่อนหน้านี้ ปัจจัยสำคัญมาจากนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 มีความชัดเจนและเป็นไปตามแผนมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มลดลงแม้จะอยู่ในหลักหมื่นคนต่อวัน รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศหุ้นไทยปรับตัวดีกว่าภูมิภาค
ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 1,600 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย รวมถึงการกระจายวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาร้อยละ 7.7 เป็นอันดับ 3 รองจากอินเดีย ฟิลิปปินส์ ขณะที่ผลดำเนินการโดยรวมของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคม 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคที่มีผลการดำเนินงานติดลบร้อยละ 1.5 ไพบูลย์ คาดว่า สำหรับดัชนีหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 2565 โดยมีเป้าหมายที่ 1,800 จุด สำหรับปีนี้ คาดว่าดัชนียังคงอยู่ในระดับ 1650 จุด โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องโควิด – 19 ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ดัชนีอาจปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย รวมทั้งต้องดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรมาสสุดท้ายว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวคงยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในปีนี้ “ปีนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ภาคท่องเที่ยวยังไม่สามารถคาดหวังได้ ภูเก็ตแซนบอกซ์ได้ผลต่ำกว่าที่คาด ต้องดูมาตรกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล รวมถึงการขยับเพดานกู้เงิน และเร่งรัดเบิกจ่าย พรก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท หากทำได้ดี จะทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าในเดือนสิงหาคมเริ่มดีขึ้น ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด หรือดีกว่าที่คาด เป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสจะปรับขึ้น แต่ปีหน้าดัชนีจะสูงกว่านี้มาก” ไพบูลย์กล่าว ไพบูลย์ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่กับแผนการกระตุ้นของรัฐบาล ซึ่งในมุมมองของสภาธุรกิจตลาดทุนไทยมองว่าปีนี้จีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 0 หรือขยายตัวเล็กน้อยไม่ถึงร้อยละ 1 แต่ปี 2565 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ร้อยละ 4 ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา คาดว่าจะอยู่ที่ 10 ล้านคน ซึ่งจะได้หรือไม่ ต้องดูแผนการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายหรือไม่แนะจัดพอร์ตลงทุนหุ้นเปิดเมือง
ไพบูลย์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การลงทุนหุ้นยังเป็นทางเลือกที่สำคัญ เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก รวมถึงสภาพคล่องที่ล้นตลาด แนวโน้มตลาดหุ้นยังมีโอกาสขยายตัวสูง ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเรื่องโควิดคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุด และความไม่แน่นอนมาแล้ว ขณะที่นโยบายของรัฐบาลยังคงมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อหุ้นกลุ่มเปิดเมือง รวมทั้งแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ในปี 2565 สำหรับผลสำรวจของนักลงทุนแต่ละกลุ่มในเดือนสิงหาคม ดัชนีปรับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนสนใจลงทุนในหมวดธนาคารมากที่สุด รองลงมากคือหมวดพาณิชย์ (Commerce) หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ ขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดแฟชั่นไม่น่าลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือประกันภัยและประกันชีวิต และหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ด้าน อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกันยายน 2564 อยู่ในเกณฑ์ไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ว่า กนง. จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 0.5 ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ สิ้นไตรมาส 3 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 64 ในขณะที่อายุ 10 ปี มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนอาจปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากมีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดคิวอีภายในปีนี้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบกับพันธบัตรรัฐบาลไทยด้วย นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิดในประเทศดีขึ้นจากอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้น จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลมีความน่าสนใจน้อยลงทำให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น ภาพประกอบ: Pixabay.com อ่านเพิ่มเติม: “แลนดี้ โฮม” ชี้กำลังซื้อกลุ่มบ้านหรูยังสดใสไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine