หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 "คีนน์" ซึ่งเกิดจากวิสัยทัศน์ของ “ดร.วสันต์ อริยพุทธรัตน์” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร เมื่อ 14 ปีก่อน ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจพัฒนานวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์ของคนไทยขึ้นมา กำลังจะได้รับอานิสงส์จากภาวะปกติแบบใหม่ หรือ New Normal
จากลูกพ่อค้าในตลาดคลองเตย ที่รู้จักการค้าขายตั้งแต่ยังเด็ก ดร.วสันต์ กลับมีวิธีคิดที่แตกต่าง เขาไม่ได้มองว่าจะร่ำรวยจากธุรกิจซื้อมา ขายไปเท่านั้น แต่มองถึงการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยสร้างนวัตกรรมเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะนวัตกรรมในการดูแลสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล แทนที่จะทำงานในโรงพยาบาล เขาเลือกที่จะเป็นเจ้าของกิจการ และตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ และเครื่องมือแพทย์ด้วยวัยเพียง 21 ปี ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดร.วสันต์ จึงได้ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท สาขานิเวศวิทยาอุตสาหกรรม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเรียนต่อปริญญาเอก สาขาจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ระหว่างเรียนไป ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ไปด้วย เขาเริ่มศึกษา วิจัยผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ คิดค้น ถอดสูตรต่างๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมที่เป็นของตัวเองจากงานวิจัยสู่การสร้างแบรนด์
การเรียนปริญญาโท สาขานิเวศอุตสาหกรรม ทำให้เขาได้เรียนรู้ในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ หรือไบโอเทคโนโลยี ทำวิทยานิพนธ์เรื่องจุลินทรีย์สำหรับย่อยสลายน้ำมันปิโตรเลียม และเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “KEEEN” ในทุกวันนี้ ซึ่งกว่าจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นี้ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี บริษัท คีนน์ ถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้าร่วมโครงการวิจัยร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ในอุทยานวิทยาศาสตร์ เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ช่วงแรกๆ งานวิจัยที่ทำใช้ไม่ได้เลย จากที่ต้องได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว กลับกลายแข็งเป็นก้อนอิฐ ทำอยู่ 7 – 8 เดือน เริ่มได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว วิจัยและพัฒนามาเรื่อยๆ จน 4 ปี จึงพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ “อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น เรามีแรงบันดาลใจจากที่คลองเตย เห็นคนจน เห็นสังคมในอีกแบบหนึ่ง จึงอยากพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ แล้วเราก็มีการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงไม่หยุดที่จะพัฒนา รวมกับความอยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่อีกสองสิ่งสำคัญที่จะต้องมี คือ ศรัทธา และองค์ความรู้ ที่ทำให้เกิดความมุ่งมั่นไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ดร.วสันต์กล่าว ช่วงแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดร.วสันต์ ยังใช้ชื่อบริษัทที่มีที่มาจากต้นตระกูล คือ ไฮกริม ที่แปลว่า “ทะเลทองคำ” และสินค้ามีลักษณะแบบโอทอป จนมีโอกาสให้เข้าร่วมในโครงการ K-SME ของธนาคารกสิกรไทย ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องแบรนด์ จากกูรูด้านแบรนด์ชื่อดัง อย่าง ดร.สรณ์ จงศรีจันทร์ จึงตั้งชื่อแบรนด์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “KEEEN” ซึ่งมีความหมายว่า “ทองคำ” ในภาษาญี่ปุ่นเหมือนชื่อตระกูล และอีกความหมายคือการดูแลเอาใจใส่ เขียนแบบเยอรมัน โดยใช้ E 3 ตัว E ตัวแรก คือ Ecology E – Environment และ E – Earth มีสัญลักษณ์ คือโล่ห์ หมายถึงการปกป้องดูแล หลังการสร้างแบรนด์ ทำให้มูลค่าธุรกิจเพิ่มขึ้น 3 – 4 เท่า เพราะสามารถทำธุรกิจในโมเดลใหม่ได้ “การพัฒนาสินค้า จะต้องมีสองอย่างประกอบกัน คือ Science Value และ Artistic Value สินค้าดี มีเทคโนโลยีสูงขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีแบรนด์ ก็ไม่สามารถสร้างราคาได้ พลังของแบรนด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ธุรกิจที่ดี นอกจากจะมีทั้งสองด้านนี้แล้ว ยังมีวิสัยทัศน์ การวางกลยุทธ์ที่ดี และมีทีมงานคุณภาพ” ดร.วสันต์กล่าววิกฤตเป็นโอกาสของ “คีนน์”
ที่ผ่านมา แบรนด์ “คีนน์” เป็นที่รู้จักบ้างในวงจำกัด ตั้งแต่เริ่มทำแบรนด์ เจอกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งตอนนั้นคีนน์เข้าไปแก้ปัญหาคราบน้ำมันจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนออกมากับน้ำท่วม อีกครั้ง คือน้ำมันรั่วที่อ่าวพร้าว จังหวัดระยอง คีนน์ได้เข้าไปแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน วิกฤตไวรัสโควิด-19 คีนน์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำไปใช้ฆ่าเชื้อสำหรับคนไทยกลุ่มแรกที่กลับจากเมือง Wuhan สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลิตภัณฑ์ “คีนน์” ได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ถูกขึ้นบัญชีสินค้านวัตกรรมของ สวทช.ทั้งในเรื่องคุณภาพ และการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอีโคเซิร์ท (ECOCERT) จากยุโรป และเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคระดับเกรดอาหาร (Food Grade) ที่ได้รับการรับรองจาก NSF หรือ National Sanitation Foundation ซึ่งเป็นองค์กรรับรองมาตรฐานที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยก่อนถึงผู้บริโภค จากประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.วสันต์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ คีนน์ จะทำธุรกิจแบบบีทูบี ให้กับธุรกิจปิโตรเลียม ปั๊มน้ำมัน ธุรกิจรถยนต์ ศูนย์ซ่อม คาร์แคร์ เป็นหลัก แต่แผนธุรกิจในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า จะมุ่งขยายธุรกิจกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะเกิดการสร้างวิถีปกติแบบใหม่ หรือ New Normal หลังเกิดวิกฤตโควิดครั้งนี้ รวมถึงการขยายเข้าสู่ผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ ดร.คีนน์ ซึ่งจะเริ่มเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ “จะมองว่าวิกฤตเป็นโอกาสของเราหรือไม่ ก็ส่วนหนึ่ง แต่วิกฤตโควิดครั้งนี้กระทบไปหมดทุกส่วนของซัพพลายเชน จึงคาดเดาได้ยากว่าจะเป็นโอกาสหรือไม่ แต่หากหลังจากวิกฤตโควิดแล้ว มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ เชื่อว่าผลิตภัณฑ์คีนน์ จะมีโอกาสเติบโตสูง” ดร.วสันต์ อริยพุทธรัตน์ กล่าวเดินแผนธุรกิจสู่โกลบอลแบรนด์
ดร.วสันต์ กล่าวว่า ขณะนี้แบรนด์คีนน์กำลังเดินสู่เป้าหมายของการเป็นแบรนด์ของประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งการขยายฐานธุรกิจหลังจากนี้ จะทำให้แบรนด์คีนน์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคคนไทย ด้วยนวัตกรรมที่ถูกคิดค้นโดยคนไทย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย สำหรับนวัตกรรมที่เป็นเอกสิทธิเฉพาะของ คีนน์ (KEEEN) คือ กระบวนการที่เกิดจากโมเลกุลของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ร่วมกับสารสกัดจากธรรมชาติ (กรดน้ำมันมะพร้าว) ที่ทำหน้าที่เป็นไบโอ เซอร์เเฟคแทนท์ (Bio-Surfactant) จึงสามารถฆ่าเชื้อโรค และทำความสะอาดได้ดีเช่นเดียวกับสารเคมี โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม นับเป็นการฆ่าเชื้อไวรัสด้วย ‘สารสกัดจากธรรมชาติ Natural Disinfectant’ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างของนวัตกรรมนี้ เมื่อโปรดักต์แข็งแรงแล้ว ก้าวต่อไปของคีนน์คือการจัดโครงสร้างองค์กรรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยภายใน 3 – 5 ปี ข้างหน้า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และอยากจะผลักดันให้คีนน์เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Life Science การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของคีนน์ไม่ใช่เพื่อเงิน หรือการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ดร.วสันต์ อยากให้คีนน์เป็นแบรนด์ของประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เหมือนถ้าพูดถึงซัมซุง เรานึกว่านั่นคือแบรนด์เกาหลี “ธุรกิจนี้ คือจิตวิญญาณ เรามีความสุขที่เห็นธุรกิจนี้เติบโต เราจะค่อยๆ บ่มเพาะธุรกิจให้มีฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการเติบโตของสังคมไทย ซึ่งจากนี้เชื่อว่าธุรกิจคีนน์จะขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น” สำหรับคนที่ลุกขึ้นมาสร้างการวิจัย นำงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างอย่าง ดร.วสันต์ เรียกได้ว่าเป็นคนที่กล้า และบ้ามาก เพราะธุรกิจนี้ต้องใช้ความอดทนสูง เพราะใช้เวลาและเงินลงทุนสูง รวมทั้งต้องมีสายป่านยาว ซึ่งเขาโชคดีที่เข้าร่วมโครงการกับ สวทช. ทำให้ได้เงินสนับสนุนจากภาครัฐส่วนหนึ่ง และการสนับสนุนจากธนาคารกสิกรไทย ที่เขาเรียกว่าเป็นพลังแห่งความดี ที่เข้ามาสนับสนุนความเชื่อ และความศรัทธาในการสร้างนวัตกรรมครั้งนี้ จากนี้ไป แบรนด์คีนน์จะก้าวย่างอย่างมีกลยุทธ์ มีทีมงานพร้อมที่จะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเป็นแบรนด์ประเทศไทย ที่สร้างความภาคภูมิใจในระดับโลก ภาพ: กิตติเดช เจริญพร, KEENไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine