อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ คาดพิษโควิด ทุบธุรกิจอีเวนต์มูลค่า 2.3 แสนล้านบาท วูบ 80% ลุ้นฟื้นปี 2564 พลิกเกมเปิดธุรกิจบริการฆ่าเชื้อโรคระดับพรีเมี่ยม KILL&KLEAN เปิดรับผู้ประกอบการร่วมธุรกิจแฟรนไชส์ทั่วประเทศ ชิงธงนำก่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์
ธุรกิจการจัดกิจกรรมการตลาด หรือ อีเวนต์ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 หลังจากรัฐบาลประกาศหยุดการจัดกิจกรรมรวมคน รวมถึงปิดศูนย์ประชุมต่างๆ และแนวโน้มการจัดอีเวนต์ยังคงเลื่อนยาว ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์ต้องลุกขึ้นมาปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้มูลค่าของธุรกิจอีเวนต์กว่า 2.3 แสนล้านบาทในประเทศไทยในปีนี้ หายไปประมาณ 80% ในกรณีดีที่สุดคือสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หรือกรณีเลวร้ายที่สุด คือกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ในปี 2564 สำหรับบริษัทอินเด็กซ์ฯ คาดว่ารายได้จะหายไปประมาณ 50% จากปีที่แล้วมีรายได้รวม 1.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงต้นปีบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ ตัดขายธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องและหันมาให้ความสำคัญเฉพาะธุรกิจหลัก ซึ่งช่วยลดผลกระทบในด้านความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันมีการปรับลดจำนวนพนักงาน และลดเงินเดือนพนักงานส่วนหนึ่งตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 400 คน “ปีนี้ ถ้าจบแบบไม่เจ๊งได้นี่ถือว่าเทพมากนะ เทียบวิกฤติครั้งนี้กับตอนต้มยำกุ้ง ปีนั้นหนักกว่ามาก เพราะเงินหายไปเลยจากตลาด แต่สถานการณ์โควิดนี้เรายังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แนวโน้มผู้ติดเชื้อดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บริษัทต้องปรับตัวเร็ว คิดโมเดลธุรกิจใหม่ตลอดเวลา ในวินาทีที่คนอื่นยังฝุ่นตลบเพื่อชิงโอกาสที่เกิดขึ้น” เกรียงไกรกล่าวรุกธุรกิจบริการฆ่าเชื้อโรค
ทั้งนี้ โมเดลธุรกิจใหม่ของอินเด็กซ์ฯ คือธุรกิจบริการฆ่าเชื้อโรค ภายใต้แบรนด์ “KILL&KLEAN by Index” เป็นการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเอาชนะโควิด-19 โดยพลิกเกมธุรกิจให้สามารถยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นให้นานที่สุด นอกจากนี้ยังทำธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อขยายธุรกิจให้บริการฆ่าเชื้อทำความสะอาดไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาสามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจมาเปิดให้บริการนี้ได้ โดยคิดค่าแฟรนไชส์ตั้งแต่ 200,000 – 300,000 บาท และจะขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว “ตลอดระยะเวลา 30 ปีของอินเด็กซ์ฯ ได้จัดงานอีเวนต์ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก การจัดงานแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมงานตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านคน สิ่งหนึ่งที่บริษัทได้เรียนรู้ในการจัดงานแต่ละครั้ง คือมาตรฐานความปลอดภัย และมาตรฐานด้านสาธารณสุข วันนี้เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทจึงนำมาตรฐานนั้นกลับมาใช้ในประเทศไทย เราไม่ได้เข้าธุรกิจนี้เพื่อหนีตาย แต่เราเข้ามาแบบมีความพร้อมทุกด้านทั้งโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยี” เกรียงไกร กล่าว สำหรับผลิตภัณฑ์ของ KILL&KLEAN เป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัดและตู้อบเด็กทารกแรกเกิด จากประเทศเบลเยี่ยม อุปกรณ์พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากประเทศเยอรมัน นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้เทคโนโลยีโดรนในการพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่ขนาดใหญ่ เครื่อง UVC AI Robot เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี และเทคโนโลยี 360 ‘ Sanitizing Gate สำหรับห้างสรรพสินค้า และสนามบิน เป็นต้น เกรียงไกร มองว่า ธุรกิจนี้มีอนาคตและสามารถพัฒนาต่อได้ เพราะจากการแพร่ระบาดของโรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดพฤติกรรมที่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของผู้คน เช่น เรื่องสุขอนามัย การใส่ใจเรื่องความสะอาด โดยเฉพาะมีหลายกลุ่มธุรกิจที่จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เพื่อป้องกันเชื้อโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร ที่ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยคาดว่ามูลค่าธุรกิจบริการฆ่าเชื้อในประเทศไทยจะอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท สำหรับอินเด็กซ์ฯคาดว่าจะมีรายได้ 30 ล้านบาท จากธุรกิจนี้ลุยสร้างโมเดลธุรกิจใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ (New Normal) ซึ่งในธุรกิจอีเวนต์ เกรียงไกร มองว่า ในอนาคตจะปรับตัวสูง Hybrid Event ที่มีการผสมผสานระหว่างออนไลน์ กับออฟไลน์ รวมถึงการสร้างอีเวนต์ในรูปแบบใหม่ๆ ขณะนี้อินเด็กซ์ฯ อยู่ระหว่างการพัฒนา 3-4 โปรเจกต์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนวัคซีนที่ทำให้อยู่ได้ โดยจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ คาดว่าจะทยอยเปิดตัวโครงการในปี 2564 สำหรับการจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปที่ดูไบ คาดว่าอาจจะเลื่อนไปปี 2564 แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งในส่วนการก่อสร้างบริษัทดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และรับรู้รายได้จากเวิลด์ เอ็กซ์โป ราว 400 ล้านบาท ดังนั้นถือว่าไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนโครงการอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเลื่อนไปจัดในช่วงสิ้นปี หรือปีหน้า “อินเด็กซ์ฯ เวลาโดดเข้าธุรกิจไหน เราไม่ได้ทำเล่นๆ แน่นอน เราทำเพื่อเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศ แต่เรามองไปในภูมิภาค และนี่คือเกมของเรา เพราะเราโตมาแบบผู้นำ คิดแบบผู้นำตลาด” เกรียงไกร ประกาศแนวรุกครั้งใหม่ ที่ถือเป็นเกมใหม่ ก้าวใหม่ของอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ อีเวนต์ เอเจนซี่อันดับหนึ่งของเมืองไทยไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine