ชายหนุ่มสูงโปร่งปรากฏตัวในชุดกางเกงยีนส์เดนิมสีน้ำเงิน สูตรสีดำ พร้อมกับสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์คู่ใจ เบื้องหน้าของพวกเราคือ ชัยยุทธ ทายาทคนที่ 2 ของตระกูลศรีวิกรม์ ไม่บ่อยนักที่พวกเราจะเห็นเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หรือพบเห็นเขาในงานเลี้ยงสังคมหรูหรา ชื่อของบุตรชายของคุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์คนนี้ จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม ซึ่งต่างจากพี่และน้องคนอื่นๆ ที่คลานตามกันมา
“ผมไม่ค่อยชอบออกสื่อ ไม่ค่อยชอบออกสังคม ผมให้ความสำคัญกับการทำงาน ผลงานสำคัญกว่า” เขาเกริ่นกับ Forbes Thailand ก่อนการสัมภาษณ์จะเริ่มขึ้น ชัยยุทธ ถูกวางตัวให้เข้ารับผิดชอบงานสายอุตสาหกรรมของครอบครัว เนื่องจากเคยมีประสบการณ์บริหารการผลิตเสื้อผ้าอุตสาหกรรม ซึ่งรวมไปด้วย บริษัท เค เอ็ม ซี แอพพาเรล จำกัด และ บริษัท ไทย เทค การ์เม้นท์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มีพนักงานรวมราว 2,400 คน ทำให้มีประสบการณ์ในด้านนี้มีมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ปัจจุบันอายุย่างเข้า 50 ปี มีหน้าที่หลักโดยนั่งเป็นกรรมการบริหารใน บริษัท ศรีวิกรม์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และงานบริหารในธุรกิจอื่นๆ โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบายในกับผู้บริหารที่ว่าจ้างเข้ามา ชัยยุทธ ถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 9 ขวบ กลับมาเมืองไทยตอนอายุ 23 ปี แม้เขาใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้ซึมซับวัฒนธรรมฝรั่งมามากจนมากเกินไป พ่อแม่ของชัยยุทธให้ความสำคัญกับการศึกษามากและสนับสนุนให้ลูกทุกคนเรียนต่อระดับสูง สิ่งที่เขาได้รับการปลูกฝังมาตลอดตั้งแต่เล็กและเป็นสิ่งที่เขายึดถือมาจนถึงปัจจุบันคือการมีระเบียบวินัย และไม่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจ ซึ่งคำสอนและวิธีการเลี้ยงลูกนี้มีค่ามาก จนชัยยุทธเองก็นำมาสอนลูกสาววัย 12 ปีคนเดียวของเขาในทุกวันนี้อีกด้วย ชัยยุทธ เล่าว่าลูกทั้ง 4 ของครอบครัวรักกันมากเป็นทั้งพี่น้องและเพื่อนในเวลาเดียวกัน ยามมีปัญหาก็สามารถพูดคุยกันตลอด แต่อีกด้าน ทุกคนก็มีโลกส่วนตัวและความคิดเป็นของตนเอง โดยเฉพาะในเรื่องการเมือง แต่ทุกคนก็ยังรักใคร่กลมเกลียวกัน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวต่างตระหนักและเคารพถึงความเป็น “ปัจเจก” ของแต่ละคน ชัยยุทธ เคยใช้ชีวิตหรูหราบ้างในวัยหนุ่ม แต่ในทุกวันนี้ ชีวิตของเขากลับเข้าสู่หาความเรียบง่าย จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดจากในปี 2553 เขาตัดสินใจบวชเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตอยู่เดือนกว่า “ถ้ามีธรรมะอยู่ในใจ อย่างน้อยถ้าทำในเชิงลบมากๆ ก็ไม่ดี ขัดกับความรู้สึก (ต้อง) คิดถึงและห่วงใยกับสังคม และทำธุรกิจด้วยสติ ไม่ได้ทำด้วยความโลภ” เขาขอบคุณบรรพบุรุษของครอบครัว ที่ก่อร่างสร้างตัวให้ธุรกิจของ ตระกูลศรีวิกรม์ แข็งแกร่งและเติบโตมาจนทุกวันนี้ พวกเขาทำงานด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท และมีความซื่อสัตย์สุจริต จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ที่จะสานต่อไป ซึ่งจะต้องใช้ “ความสามารถ” และ “ความดี” เป็นตัวขับเคลื่อน เขาบอกว่า แม้ลูกหลานมีความสามารถ แต่ถ้าปราศจากความดี สิ่งต่างๆ ที่สืบทอดมาก็จะอยู่ไม่อย่างยั่งยืน แต่ถ้าลูกหลานมีทั้งสองอย่าง ธุรกิจก็จะมีชีวิตยืนยาวต่อไป โดยเฉพาะความดี สามารถชนะใจลูกน้อง เนื่องจากความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่ง แต่เกิดจากน้ำแรงของทุกคนในบริษัทที่ทุ่มเท และตั้งใจร่วมกัน ชัยยุทธตั้งใจจะทำธุรกิจถึงอายุ 55 โดยหวังว่าจะให้นักบริหารมืออาชีพเข้ามาช่วยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็มีมากอยู่แล้ว ส่วนตัวเขาอยากไปทำอย่างอื่น ที่อยากทำ โดยเฉพาะฝึกวิ่งมาราธอนเพราะรู้สึกเป็นสิ่งท้าทาย เขามองว่า การวิ่งมีอะไรมากกว่าเรื่องสุขภาพ อาทิ การอยู่กับตัวเอง การเข้าใจตัวเองมากขึ้น การฝึกสมาธิ ได้ความอดทน ความเจ็บปวด ความเหนื่อย การฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ปัจจุบันเขาวิ่งได้ไกลถึง 42 กิโลเมตร กินเวลาหลายชั่วโมงและมีเป้าที่จะวิ่งให้ถึง 50 และ 100 กิโลเมตรตามลำดับ เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์คลิ๊กอ่าน "ธุรกิจ & ธรรมะ สไตล์ ชัยยุทธ ศรีวิกรม์" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ DECEMBER 2015