เราผิดหวังมากตอนแชมเปียนชิพ ฤดูกาล 2012-2013 เราแพ้วัตฟอร์ด แพ้เพลย์ออฟ ความฝันเราพังทลาย สิ่งที่หวังมาตลอดว่านี่แหละ...ปีนี้แหละ หายไปทันที แต่คุณพ่อก็บอกว่าดีแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียน ให้รู้จักเสียบ้างว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร ผมก็บอกโอเค..เข้าใจแล้ว เรากลับมาวางแผนใหม่ และขึ้นชั้นในปีถัดมา” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ซิตี้ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าให้ Forbes Thailand ฟัง เมื่อครั้งที่เราพบเขาหลังการแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-2016 เริ่มต้นได้เพียง 6 นัด (อ่านบทสัมภาษณ์อัยยวัฒน์แบบเต็มได้ ใน Forbes Thailand ฉบับพฤศจิกายน ปี 2015)
แม้การคว้าถ้วยแชมป์มาครองจะเป็นความใฝ่ฝันของทุกทีมในลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของอังกฤษ แต่ เลสเตอร์ซิตี้ ซึ่งฤดูกาลที่แล้ว (2014-2015) รั้งอันดับ 14 ก็ไม่เคยคิดว่าความฝันนั้นจะกลายเป็นความจริงในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรื่องราวดังเทพนิยายของทีม “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ไม่เพียงสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการฟุตบอลอังกฤษ แต่ยังเป็นโอกาสสู่ความมั่งคั่งที่มากขึ้นของ วิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้เป็นพ่อของ อัยยวัฒน์ ที่ขณะนี้มูลค่าทรัพย์สินรวมของ วิชัย จากการจัดโดย Forbes ไต่อันดับขึ้นไปสูงถึง 3.25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1.16 แสนล้านบาท มากกว่าปี 2015 ซึ่งอยู่ที่ 2.5 พันล้านเหรียญ (อ่าน “วิชัย ศรีวัฒนประภา พา “เลสเตอร์ซิตี้” เขย่าอันดับมหาเศรษฐีไทย” ได้ใน Forbes Thailand ฉบับมิถุนายน ปี 2016)
Forbes Thailand พบอัยยวัฒน์อีกครั้ง ในวันที่พ่อของเขานำคณะผู้บริหาร ผู้จัดการทีม นักเตะ และคณะผู้ฝึกสอนของ เลสเตอร์ซิตี้ และแน่นอน...ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก มาฉลองชัยในไทย ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
หลังได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแล้วเคยประเมินไหมว่ามูลค่าของสโมสรเลสเตอร์ซิตี้อยู่ที่เท่าไร
“ผมไม่เคยประเมิน แต่ถ้าให้คิดเองเร็วๆ น่าจะสัก 400 ล้านปอนด์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นตัวเลขที่ถูกต้องขนาดนั้น”
รายได้ฤดูกาล 2015/16 เป็นอย่างไร
“ประมาณ 110 ล้านปอนด์ไม่เกินนี้ เป็นส่วนแบ่งจากพรีเมียร์ลีก 78-79 ล้านปอนด์ ค่าบัตรเข้าชมประมาณ 5 ล้านปอนด์ ของที่ระลึกไม่เยอะมาก น่าจะ 2-3 ล้านปอนด์ ที่เหลือเป็นสปอนเซอร์ ซึ่งก่อนจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก มีสปอนเซอร์เสนอซื้อพื้นที่บนอกเสื้อเข้ามาเกือบ 10 ล้านปอนด์ ต้องไปถาม คิง เพาเวอร์ ก่อนว่าจะขายหรือไม่ เพราะเซ็นสัญญายาว
“เสื้อเป็นหนึ่งในของที่ระลึกที่ขายดีมาก ฤดูกาลล่าสุดเราขายเสื้อได้ประมาณ 6 หมื่นตัว ฤดูกาลหน้าเลยวางว่าจะขายที่เลสเตอร์ 1.2 แสนตัว และที่เมืองไทยอีก 2 หมื่นตัว ผมไม่กล้าเอามาขายเยอะ กลัวคนไม่ซื้อ เพราะคนไทยมีหลายทีมให้เลือกซื้อ พอสั่งมาเยอะๆ แล้วไม่มีคนซื้อ ผมก็รู้สึกไม่ดี (หัวเราะ) ปีแรกที่ทำทีม ผมสั่งมาขายที่ไทย 500 ตัว เชื่อมั้ยว่ายังเหลือเลยครับ”
การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกช่วยทำให้เมืองไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นไหม
“มากครับ วันที่เราฉลองแชมป์กันที่เลสเตอร์ ชาวเมืองก็ชูธงไทยกันเยอะมาก และชาวเลสเตอร์ก็วางแผนมาเที่ยวเมืองไทยเยอะขึ้น”
สื่อมักเรียกเลสเตอร์ซิตี้ว่าเป็นทีมรองบ่อน แล้วคุณมองตัวเองอย่างไร
“เราเป็นทีมรองบ่อนตั้งแต่แรกแล้วครับ และผมก็ชอบที่จะเป็นแบบนี้และจะเป็นต่อไป พอเราอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าทีมใหญ่ เขาจะเป็นฝ่ายกดดัน ไม่ใช่เราที่กดดัน นี่คือจุดที่เปลี่ยนให้เลสเตอร์ซิตี้มาถึงวันนี้ เวลาเป็นทีมรองบ่อนคนจะเชียร์มากกว่า เพราะคนดูอยากเห็นเซอร์ไพรส์
“ผมคิดว่าฤดูกาลหน้าก็คงเหมือนเดิม คือด้วยขนาดของสโมสรและนักเตะ เราไม่มีทางสู้ทีมใหญ่ได้ เขาใช้เงินซื้อ 1 ตัว เท่ากับเราซื้อ 4-5 ตัว งบมันต่างกัน แต่เราก็ยังจะใช้วิธีการซื้อตัวแบบนี้ ใช้วิธีการเล่นแบบนี้เหมือนเดิม แต่เราจะสร้างสปิริตของทีมให้แน่นมากขึ้น ผมว่าตรงนี้สำคัญกว่า”
คลิกอ่าน "เลสเตอร์ ซิตี้ จัดให้ วิชัย ศรีวัฒนประภา มหาเศรษฐีแสนล้านคนใหม่" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ June 2016