เมื่อเอ่ยชื่อตระกูล “ตั้งคารวคุณ” ทุกคนจะนึกถึงธุรกิจสี และแบรนด์ที่แข็งแกร่งของทีโอเอ เพ้นท์ ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ครอบครัวนี้ยังมีอาณาจักร “TOAVH” เป็นขุมพลังนอกตลาดฯ ที่ขับเคลื่อนโดย ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ
อาคาร 5 ชั้นสไตล์โมเดิร์นโทนสีเทา-ดำ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา) สถานที่นัดพบ ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานในฐานะโชว์รูมแห่งใหม่ล่าสุดของรถยนต์ Mercedes- Benz สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่อันทันสมัยเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของครอบครัว “ตั้งคารวคุณ” ซึ่งแยกออกมาจาก บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เมื่อครั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2560 โดยอีก 3 ปีต่อมาอาณาจักร “ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง” หรือ TOAVH ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรือดีลเลอร์ Mercedes-Benz เป็นธุรกิจใหม่ล่าสุด 1 ใน 18 บริษัทของ TOAVH อาณาจักรธุรกิจหมื่นล้านนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ของตระกูล “ตั้งคารวคุณ” ซึ่งมีธุรกิจหลากหลาย ทั้งตัวแทนจำาหน่ายรถยนต์แบรนด์เดิมที่ทำมาก่อนหน้านี้คือ Suzuki และ MG จากนั้นจึงขยับมาจับตลาดรถหรู Mercedes-Benz เมื่อปลายปี 2562 นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจเคมีภัณฑ์สีอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นเจ้าของร่วมทุนพัฒนา “ดองกิ มอลล์” ศูนย์การค้าชื่อดังจากญี่ปุ่นที่เข้ามาเปิดในไทยเป็นแห่งแรก “เหตุผลที่แยก TOAVH ออกมาคือเรื่องเดียวเพื่อความคล่องตัวในการบริหารและการลงทุน” ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน TOAVH ออกตัวกับทีมงาน Forbes Thailand เมื่อถูกถามว่า ทำไมต้องแยก TOAVH ออกมา จาก TOA แทนที่จะอยู่ร่วมกันเพื่อให้มาร์เก็ตแคปของ TOA สูงกว่ายอดรายได้รวม 1.7 หมื่นล้านบาทที่ทำได้เมื่อสิ้นปี 2562 โดยเขาอธิบายว่า เนื่องจาก TOAVH มีธุรกิจที่ค่อนข้างหลากหลาย มีการร่วมทุนกับต่างประเทศหลายบริษัทและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้เขายังมองเรื่องการปรับโครงสร้างรายได้ “ผมต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ให้ขึ้นมาเป็น 50% เพราะมองเห็นโอกาสและเชื่อว่าน่าจะทำได้ภายในเวลาไม่กี่ปี” เป็นมุมมองและเป้าหมายที่ผู้นำ TOAVH ตั้งไว้ในฐานะผู้สืบทอดกิจการที่รับผิดชอบธุรกิจร่วมทุนและการขยายโอกาสใหม่ๆ ณัฏฐวุฒิ เป็นบุตรชายคนที่ 3 ของประจักษ์ ตั้งคารวคุณ เจ้าสัววัย 76 ปี เจ้าของทรัพย์สิน 1.01 แสนล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีไทยอันดับ 7 ตามการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยประจำปี 2563 จากนิตยสาร Forbes ความมั่งคั่งของเจ้าสัวประจักษ์เพิ่มขึ้นแม้เผชิญช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยอันดับความมั่งคั่งของเขากระโดดขึ้นมาจากอันดับ 24 มูลค่าทรัพย์สิน 5.42 หมื่นล้านบาทในปี 2562 เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปีนี้ เจ้าสัวประจักษ์เป็นผู้บุกเบิกสร้างธุรกิจ TOA ให้เติบโตกระทั่งเป็นเจ้าตลาดสีทุกประเภทต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันเขาส่งต่อธุรกิจหมื่นล้านที่สร้างมากับมือให้กับทายาททั้ง 4 คน โดยลูกชาย 2 คน วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ (เอ) และจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ (โอ) รับผิดชอบดูแลกิจการ TOA ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ (อาร์ต) บุตรชายคนที่ 3 บริหาร TOAVH เต็มตัว ในขณะที่บุตรสาวคนเล็ก บุศทรี ตั้งคารวคุณ (อุ้ม) ออกเรือนไปกับเขม หวั่งหลี และยังคงถือหุ้นในธุรกิจต่างๆ ของ TOA-ขยายน่านน้ำ “อาเซียน”-
ทว่าฝันของซีอีโอหนุ่มวัย 46 ปีผู้นี้ไม่จำกัดเฉพาะตลาดที่มีฐานลูกค้าเดิมในมือเท่านั้น แต่เขามองไกลไปถึงน่านน้ำใหม่และโอกาสที่จะเป็นไปได้แบบเปิดกว้าง ด้วยความเชื่อที่ว่าความต้องการของผู้คนจะไม่หยุดนิ่งเช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุกขณะ ทุกคนต้องการสิ่งใหม่ๆ เพื่อชีวิตที่สะดวกสบาย “ผมตั้งเป้าจะปักหมุดความยิ่งใหญ่ของ TOAVH ในตลาดโลกด้วยการขยายสู่ emerging market เป็นหลัก ในวันนี้เราเริ่มจาก medium term plan จะระเบิดตลาดเราต้องแข็งแกร่งในตลาดนี้ อย่าจับปลาในแม่น้ำให้ไปจับในมหาสมุทร เป็นคำสอนของคุณพ่อที่ผมยึดมั่นมาตลอด” ประโยคจำในคำสอนของบิดาคือเบื้องลึกของแรงบันดาลใจที่ทำให้ณัฏฐวุฒิมองไปข้างหน้า และไม่ได้จำกัดเฉพาะโอกาสในประเทศ แต่เปิดกว้างและมองไกลไปยังตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะตลาดอาเซียน เนื่องจากเส้นทางธุรกิจของกลุ่มทีโอเอ เริ่มต้นเข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มปูรากฐานสู่การเป็นฐานการผลิตรถพิกอัปขนาด 1 ตันตามนโยบายของรัฐบาล ทีโอเอเข้าไปเกี่ยวข้องในบทบาทของอุตสาหกรรมสนับสนุนอยู่เบื้องหลังคือ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนและยังคงมีบทบาทสำคัญมายาวนานถึงปัจจุบัน โดยร้อยละ 30 ของรถยนต์ที่ประกอบในไทยกว่า 2 ล้านคันต่อปีล้วนผ่านกลไกการชุบสีกันสนิมตัวถังรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นโลหะจากกลุ่ม TOAVH แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแชสซีรถกระบะทุกยี่ห้อ รวมถึงการเป็นผู้นำด้านชิ้นส่วนความปลอดภัยในยนตรกรรมถุงลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัย และพวงมาลัยรถยนต์ให้กับลูกค้าบริษัทรถยนต์แบรนด์ชั้นนำของเมืองไทย ความสำเร็จของกลุ่ม TOAVH ไม่ได้มาจากโชคช่วยหรือฟ้าลิขิต แต่เกิดจากกลยุทธ์อันแยบยลที่สั่งสมมายาวนาน ณัฏฐวุฒิย้ำ และว่า “ทุกอย่างไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มาจากวิสัยทัศน์ของตระกูลที่มาพร้อมโอกาส และการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นดีระดับโลก” จากฐานธุรกิจเดิมคือ พื้นฐานด้านอุตสาหกรรมสี เมื่อนำกิจการเข้าตลาด หลักทรัพย์ฯ ในปี 2560 จึงก่อกำเนิด TOAVH ขึ้นด้วยการปรับโครงสร้างภาพรวมและจัดกลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร โดยบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม TOAVH เป็นบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติ ปัจจุบันมีทั้งหมด 18 บริษัท แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสีอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์, ธุรกิจเคมีภัณฑ์, ธุรกิจ ผู้จัดจำาหน่ายรถยนต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์-เส้นทางแห่งผู้นำ-
เส้นทางการเติบโตของณัฏฐวุฒิเรียกว่า ปูพื้นฐานมาอย่างดี โดยเขาจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มงานด้วยการเป็นวิศวกรในไลน์ผลิตของโรงงานเหล็กรีดเย็นที่บริษัท นครไทย สตริปมิล ซึ่งไม่ได้เป็นธุรกิจของครอบครัวทำให้เขามีโอกาสคลุกคลีกับเพื่อนร่วมงานที่หลากหลาย ได้เข้าใจถึงสภาพการทำงาน ความเป็นอยู่ และมุมมองที่แตกต่างกัน “เพราะทำงานกับบริษัทอื่นมาก่อน ทำให้ผมสามารถพูดคุยกับทีมงานได้ทุกระดับ เข้าใจความคิดของทีมงาน ทำให้การประสานงานต่างๆ การทำงานง่ายขึ้น” เขาอธิบายพื้นฐาน ประสบการณ์ช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน แต่นั่นไม่ใช่ประสบการณ์เดียวของผู้นำ TOAVH “ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เศรษฐกิจ มีปัญหาหนักมาก TOA ก็เช่นกัน ได้รับผลกระทบหนัก ผมจึงกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว เป็นช่วงที่ได้เรียนรู้ฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด ในวันนั้นหัวเรือหลักที่นำ TOA ฝ่าวิกฤตมาได้คือ คุณประจักษ์ (คุณพ่อ) คุณประวิทย์ (คุณอา) และคุณวนรัชต์ (พี่ชาย) วิกฤตครั้งนั้นเป็นโอกาสที่ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้” ณัฏฐวุฒิเล่าประสบการณ์ในอดีตที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสถานการณ์เริ่มอยู่ตัว ณัฏฐวุฒิได้ไปศึกษาต่อปริญญาโทสาขา Engineering Management ที่ University of Southern California สหรัฐอเมริกา หลังจากเรียนจบ เขากลับเข้ามาทำงานในทีโอเออีกครั้ง ในส่วนของสายการผลิตของทีโอเอ เพ้นท์ และ Resin Plant ที่ทีโอเอ เคมิคอล ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลักของการผลิตสี เขาเล่าว่า ช่วงนั้นบริษัทขยายกำลังการผลิตจึงมีโอกาสทำ project management ทำให้ได้เรียนรู้ การวางแผนและบริหารโครงการ ทั้งเวลา ทรัพยากร ต้นทุน ค่าใช้จ่าย และเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และการบริหารความเสี่ยง ทำให้เข้าใจและเห็นภาพทุกกระบวนการของการทำงาน หลังจากนั้นเขาได้รับมอบหมายให้ไปบุกเบิกงานใหม่ที่ประเทศเวียดนาม “ที่จริงแล้วบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม TOAVH ส่วนมากก็เป็นธุรกิจที่ผมบริหารมาก่อนแล้ว เมื่อมีการปรับโครงสร้างการบริหารธุรกิจทั้งหมดของครอบครัว จึงได้มีการจัดตั้ง TOAVH และผมก็รับหน้าที่บริหารต่อ ซึ่งทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้น ต่อมาก็ได้มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และมีการ diversify ธุรกิจใหม่ๆ เช่น ดองกิ มอลล์ และผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Suzuki, MG, Mercedes-Benz” ก่อนจบการพูดคุยในวันนั้นณัฏฐวุฒิบอกว่า การเติบโตที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ตามโอกาส “การที่เราเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะบริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของบริษัท เราจึงเตรียมงบสำหรับทำ R&D ไว้ราว 10% ของยอดค่าใช้จ่ายรวม” เป็นอีกหัวใจความสำเร็จ ที่ผู้บริหารหนุ่มเจนเนเรชั่น 2 ย้ำ ก่อนจะกล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า ในการบริหารงานเขา ให้ความสำคัญในทุกเรื่อง รวมทั้งการดูแลพนักงานกว่า 3,000 คน เพราะพนักงานคือ หัวใจสำคัญเช่นดียวกับแผนขยายธุรกิจที่ต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง สำหรับเขาเชื่อว่า “โอกาสมีเสมอหากเราพยายามเสาะหา และพัฒนาให้ทันท่วงที”เรื่อง: อรวรรณ หอยจันทร์ และ กนิษฐา P. ภาพ กิตติเดช เจริญพร
https://youtu.be/9Hdqu8lb6Mcคลิกอ่านฉบับเต็ม "ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ปั้นอาณาจักรหมื่นล้านนอกตลาดฯ" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2563 ในรูปแบบ e-magazine