หลายคนที่ทำธุรกิจแล้วประสบภาวะขาดทุน ด้วยการแข่งขันสูงหรือตลาดชะลอตัวก็ตาม หากวันหนึ่งธุรกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งก็คงเพลิดเพลินกับโอกาสรอบใหม่แต่กับ จอมทรัพย์ โลจายะ นักธุรกิจไทยผู้เติบโตต่างแดนกลับมองว่า เขาต้องรีบขายกิจการออกไปแล้วหันไปจับธุรกิจใหม่ที่มีรายได้มั่นคงกว่า
จอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น เจ้าของบริษัทพลังงานน้องใหม่มาแรงคือ นักธุรกิจผู้เติบโตในต่างแดนรายนั้น เขาใช้ชีวิตวัยเด็กที่ Los Angeles สหรัฐอเมริกา อยู่ต่างประเทศ 21 ปีก่อนจะกลับมาเริ่มต้นธุรกิจในไทย การลงทุนครั้งแรกของเขาไม่ถึงกับผิดพลาด เพราะขณะนั้นวัสดุ “อิฐมวลเบา” กำลังมาแรงและมีคู่แข่งในตลาดน้อย แต่ทว่าหลังจากเขาลงทุนไปเพียง 2 ปี มีผู้เห็นโอกาสเหมือนเขาและเข้ามาสู่ธุรกิจนี้มากเกินไปจนเกิดสงครามราคาเพราะสินค้าล้นตลาด ทำให้ บมจ. ซุปเปอร์บล๊อก กิจการที่เขาลงทุนครั้งแรกประสบภาวะขาดทุนยาวนานต่อเนื่องถึง 8 ปี การลงทุนในซุปเปอร์บล๊อกเริ่มต้นในปี 2547 ด้วยเม็ดเงิน 200 ล้านบาท “ตอนนั้นมองว่าวัสดุน่าจะดี เศรษฐกิจเริ่มฟื้น เราเข้าไปซื้อ บริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ซึ่งตอนนั้นซุปเปอร์บล๊อกมีหนี้อยู่ 500 กว่าล้านบาทเราซื้อหุ้นไป 200 ล้านบาท แล้วไปปรับโครงสร้างหนี้ ตัดดอกเบี้ยค้างชำระ ยอดหนี้เหลือ 300 ล้านบาท เคลียร์หนี้อยู่ 3 เดือน” จอมทรัพย์ย้อนอดีตการลงทุนครั้งแรกของเขากับทีมงาน Forbes Thailand “พอเราขยายคู่แข่งก็ขยายเหมือนกันช่วงนั้นเศรษฐกิจ pick up นโยบาย work หมด วันนั้นคนจะสั่งของต้องรอ 6 เดือนและต้องจ่ายเงินเราก่อน” แต่ช่วงเวลาที่หอมหวานมันสั้นเกินคาด เพราะในปี 2549 ตลาดอิฐมวลเบาจากที่เคยมีเพียง 2 แบรนด์คือ “ซุปเปอร์บล๊อก” ของเขา และ “คิวคอน” ของ บมจ. ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ ในกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ กลับมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มอีก 2-3 ราย ทำให้กำลังการผลิตอิฐมวลเบาล้นตลาด จากเดิมที่ 2 รายมีกำลังการผลิตรวมกันที่ 7 ล้านตารางเมตร ซึ่งมากอยู่แล้วเพราะความต้องการของตลาดน่าจะอยู่ที่ 4 ล้านตารางเมตรเท่านั้น ทำให้เกิดสงครามราคา จากที่เคยขายได้ 240 บาทต่อตารางเมตร มีกำไรราว 20% ราคาตกต่ำกว่า 110 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 130 บาทต่อตารางเมตร ซุปเปอร์บล๊อกจึงประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องพลิกวิกฤตมองหาโอกาสใหม่
“ผมสู้กับซุปเปอร์บล๊อกที่ขาดทุนอยู่ 8 ปี โชคดีเกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 โรงงานของคู่แข่ง น้ำท่วมไป 3 โรง กำลังการผลิตหายไป 3 ส่วน แต่ซุปเปอร์บล๊อกยังผลิตได้เต็ม ซัพพลายหายไปราคากลับมาเท่าปีแรกๆ แต่ผมมองแล้วอนาคตต้องกลับมาแข่งขันดุเดือดอีก เมื่อคู่แข่งปรับปรุงโรงงานเสร็จ” เขาเผยมุมมองก่อนที่จะตัดสินใจขายโรงงาน เมื่อคู่แข่งได้พาร์ตเนอร์ใหญ่เครือซิเมนต์ไทยเข้ามาร่วมทุน “ผมประเมินแล้วอย่างไรเราก็สู้ไม่ได้ จึงตัดสินใจขายโรงงาน ก็เลือกขายให้กับคนที่ใหญ่พอๆ กันคือ ปูนนก หรือปูนกลาง” ซึ่งในวันนี้ได้เปลี่ยนเป็น อินทรีซุปเปอร์บล๊อก ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง ซึ่งเขามองว่ามีกำลังเพียงพอที่จะรับมือกับคู่แข่งได้ “เกมเปลี่ยน” จอมทรัพย์อธิบายเพียงสั้นๆ ถึงสิ่งที่เขาคิดขณะนั้นคือในปี 2556 ที่ตัดสินใจขายโรงงาน ได้เงินเข้ามาในปี 2557 “เรามองโอกาส เรียนรู้สิ่งที่ทำมา ตอนทำอฐิมวลเบาผมอายุ 32-33 ทำมาก็เริ่มเรียนรู้ว่าทุกอย่างมีความสำคัญในแง่ธุรกิจต้องดูให้ครบภาพ ก็คิดว่าเงิน 200 กว่าล้านบาท เราอยากทำธุรกิจที่ไม่ต้องมีการแข่งขันในด้านราคา” เพราะถ้าไปแข่งราคาเจอยักษ์ใหญ่ก็สู้ไม่ได้ “เราอยากทำธุรกิจที่ไม่มีปัญหาแรงงาน” เพราะตอนนั้นแรงงานเริ่มหายาก และอีกเหตุผล “เราอยากทำธุรกิจที่ไม่มีปัญหาในการเก็บเงิน” เพราะวันนั้นถ้าขายอิฐมวลเบา 8 ก้อนเก็บเงินไม่ได้ก้อนเดียวก็ขาดทุนแล้ว เขาจึงมองหาธุรกิจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บเงิน คำตอบที่ได้คือ “ธุรกิจสัมปทาน” แต่สัมปทานอะไรล่ะที่ยังพอมีโอกาสเข้าถึงได้ และในที่สุดเขาก็เลือกพลังงานทดแทนเพราะปัจจัยหลักคือ สัญญาเป็นธุรกิจสัญญาคล้ายๆ สัมปทาน การเข้าไปขายไฟให้รัฐไม่ต้องมีการแข่งขันเรื่องราคา ไม่ว่าโรงใหญ่หรือโรงเล็กเมื่อได้สัมปทานแล้วขายราคาเท่ากันหมด แข่งกับตัวเองเท่านั้น “เราอยากทำมาก แต่วันนั้นยังไม่มีการให้ใบอนุญาต ทำสัมปทานต้องมีใบอนุญาตขายไฟ เรามีเงินอยู่ 200 กว่าล้าน เราก็วิ่งไปหาธุรกิจที่เขาหาไฟฟ้าอยู่ คล้ายๆ ตอนที่ทำอิฐมวลเบา เราก็มองไปซื้อโรงไฟฟ้า 3 เมกะวัตต์ ได้โรงเล็กๆ ที่ปราจีนบุรี” ที่โซลาร์ฟาร์มปราจีนบุรีคือ จุดเริ่มต้นของซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี เขาเข้าไปซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเล็กๆ แห่งนี้แล้วค่อยๆ เรียนรู้ พร้อมกับมีความคิดว่าอยากขยาย เพราะมองเห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า “จุดนั้นใช้โอกาสที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราซื้อมาได้แล้วก็เพิ่มทุนและระดมทุน แต่ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนหมวด เพราะยังมีบริษัทเล็กๆ ของเราที่ทำคอมพิวเตอร์รายได้ไฟฟ้ายังไม่แซงธุรกิจเล็กๆ นั้น” วันที่จอมทรัพย์เริ่มต้นธุรกิจพลังงานจึงยังคงดำเนินการในนาม บมจ. ซุปเปอร์บล๊อก ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น ชื่อหลักทรัพย์ Super โดยเปลี่ยนชื่อและหมวดธุรกิจในช่วงปี 2560-2561 หลังจากลงทุนในธุรกิจพลังงานไปได้ปีกว่า
ขึ้นเบอร์ 1 การผลิต Solar Energy
“จังหวะมาพอดี รัฐบาลปล่อยโซลาร์ค้างท่อ เราก็วิ่งไปหาคนที่เขามีใบอนุญาตเวลานั้น ขอไปร่วมลงทุนกับเขา จาก 3 เมกะวัตต์ในวันนั้นภายใน 3 ปีเราขยายขึ้นไปเป็น 600-700 เมกะวัตต์” ความหวังบนถนนสายพลังงานของจอมทรัพย์เริ่มมีภาพที่ชัดขึ้น “จากที่เราเป็นอะไรที่เล็กสุดกลายเป็นว่าวันนี้เรามีกำลังการผลิตในแง่พลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (เกือบ 700 เมกะวัตต์)” เขาไม่ลืมเน้นว่าหมายถึงกำลังการผลิตเท่านั้น ส่วนการขายไฟเนื่องจากเขามาทีหลัง รายได้จึงเป็น FIT หรือ feed-in tariff (อัตราซื้อขายไฟฟ้าที่ผู้ผลิตไฟฟ้าได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการป้อนไฟฟ้าเข้าระบบ) ไม่ได้เป็น adder หรือกลุ่มผู้ขายไฟฟ้าไว้ในระบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า ซึ่งจะได้ประมาณ +8 บาท +5 บาท “ของเราจะเป็นราคา flat rate 5.66 บาท” เมื่อตั้งหลักมั่นคง จอมทรัพย์ใช้ความได้เปรียบในการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ เดินหน้าแผนระดมทุนรอบใหม่ โดยในปี 2562 เขาได้จัดตั้งกองทุน EIF อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์ หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) เป็นกองทุนพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์ ขณะนี้เทรดอยู่ในตลาดฯ โดยการดึงการผลิต solar energy จำนวน 118 เมกะวัตต์ จากพอร์ตที่มีอยู่ 700 กว่าเมกะวัตต์ เข้าไปตั้งแยกเป็นกองทุน “ตัวนี้ทำกับหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นที่ปรึกษาและเป็นคนดูแล ปีที่แล้วเราก็ขายไปประมาณ 8.6 พันล้านบาท ได้ราคาค่อนข้างดี แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าลง แต่ผู้ถือหน่วยตอนซื้อไอพีโอยังได้ return ที่ 10% แต่ถ้าซื้อตอนนี้จะได้ประมาณ 7% ราคาตอนนี้อยู่ที่ 11 บาท”
เรือธงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
เขาแจกแจงต่อไปว่า ทุนที่ได้มาแบ่ง 4 พันล้านบาทจ่ายคืนให้กับธนาคารกรุงเทพ ส่วนที่เหลือราว 4.6 พันล้านบาท นำไปลงทุนพลังงานทดแทนที่เวียดนามซึ่งเติบโตด้วยดี เขาบอกว่า ปี 2562 ซุปเปอร์ฯ สามารถจ่ายไฟเพิ่มเติมในเวียดนาม 286.2 เมกะวัตต์ “พูดง่ายๆ เราเอาออกไป 118 เมกะวัตต์ เอาเงินส่วนหนึ่งไปทำ 286 เมกะวัตต์ และใช้หนี้ด้วย ยังมีเงินเหลือไปขยายอีกส่วนวันนี้เรากำลังสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามอีก 550 เมกะวัตต์ จะเสร็จปลายปีนี้และขึ้นไป 700 กว่าเมกะวัตต์ ก็จะได้กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเบอร์ 1 ในเวียดนาม” การขยายธุรกิจเป็นไปอย่างก้าวกระโดดภายในเวลา 3 ปี ซุปเปอร์ฯ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ทั้งในไทยและเวียดนาม รายได้จากหลักร้อยก้าวกระโดดขึ้นมาเป็น 7,757 ล้านบาทในปี 2562 และสิ้นปี 2563 คาดว่าจะทำได้ราว 8 พันล้านบาท และขยับเป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จากนั้นจะเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากผลิตเพิ่มตามสัมปทานระยะยาว 20 ปี แต่ในวันนี้มีรายได้หลักของซุปเปอร์ฯ กว่า 80% มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลงทุนไปจำนวนมากทั้งในไทยและเวียดนาม เขายังคงให้น้ำหนักการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผลตอบแทนจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมจะดีกว่า แต่การเริ่มต้นที่ยากและต้องรอเวลาในการวัดลมอีก 2 ปี อาจทำให้การเติบโตไม่เร็วตามที่ต้องการ


คลิกอ่านฉบับเต็ม “จอมทรัพย์ โลจายะ คว้าโอกาสหมื่นล้าน “พลังงานทดแทน”” และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine
