ความเคลื่อนไหวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกล่าวถึงมากในระยะหลังๆ คือการพัฒนาโครงการบนพื้นที่เช่า หรือลีสโฮลด์ (Leasehold) ซึ่งสอดคล้องกับราคาที่ดินในเมืองที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมาก หากพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ฟรีโฮลด์ (ขายกรรมสิทธิ์) กลางใจเมืองในปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตขนาดเล็กสุด เกือบ 10 ล้านบาท จึงไม่แปลกที่เทรนด์ที่พักอาศัยแบบสิทธิการเช่าจะมาแรง
แนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ กำลังเติบโตไปในทิศทางเดียวกับหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก อาคารสูงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะราคาที่ดินปรับตัว สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมองแนวโน้มที่พักอาศัยแบบสิทธิการเช่าว่าจะกลายเป็น เทรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐอย่างเช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เปิดมาสเตอร์แพลนในที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลง เช่น บางซื่อ สเตชั่น มักกะสันคอมเพล็กซ์ ที่มีคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโครงการ รวมถึงแนวคิดที่จะ นำที่ดินรอบตัวสถานีรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ๆ ที่ถือเป็น ที่ดินภาครัฐมาพัฒนาเป็นที่พักอาศัยสิทธิการเช่า รอบสถานีในราคาที่ชนชั้นกลางเอื้อมถึง และหวังจะลดความร้อนแรงของราคาที่ดินใจกลางเมืองลง แม้ว่าโครงการเหล่านี้จะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่แนวโน้มของโครงการคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าก็เริ่มเกิดขึ้นบนที่ดินหลายแปลงใหญ่ของภาครัฐ ประเดิมด้วย โครงการ Sindhorn Village ที่พัฒนาโดยบริษัท สยามสินธร จำกัด บนที่ดินเช่าสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระดับ ลักชัวรี่ นอกจากนี้ กลุ่มโรงแรมดุสิตที่จับมือกับซีพีเอ็น เปิดตัว “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ก็เปิดตัวที่พักอาศัย สิทธิการเช่าระดับลักชัวรี่ โดยจะใช้ 2 แบรนด์ ได้แก่ Dusit Residences จำนวน 159 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 120-600 ตารางเมตร และ Dusit Parkside จำนวน 230 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 60-80 ตารางเมตรเช่นเดียวกับโครงการยักษ์ใหญ่ที่หลายคนจับตาอย่าง One Bangkok บนที่ดินสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ ล่าสุดเพิ่งเผยมาสเตอร์แพลน ว่าจะมีคอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 110 ยูนิต คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2563 พื้นที่เริ่มต้นที่ 130 ตารางเมตร ราคาราวๆ 700,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นราคาสิทธิการเช่าที่สูงสุดในตลาด
มิกซ์ยูส เทรนด์ใหม่คอนโดลีสโฮลด์
ผู้ประกอบการหลายรายที่หันมาลงทุนพัฒนาโครงการแบบลีสโฮลด์ ล้วนมีมุมมองคล้ายกันคือ เลือกพื้นที่ทำเลทองแต่มองโอกาสในการทำตลาดในราคาที่ต่ำลง เช่นเดียวกับ ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า คอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์จะเกิดได้ต้องอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขายได้ ซึ่งเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยทำเลหลักของคอนโดมิเนียมเหล่านี้ คือ ราชดำริ หลังสวน และพระราม 4 อีกทั้งในระยะหลังคอนโดมิเนียม
ลีสโฮลด์ไพร์มแอเรียราคาเพิ่มทุกปี
นอกจากผู้ประกอบการแล้ว บริษัทที่ปรึกษาการลงทุน และการตลาดก็ให้ความสำคัญเก็บตัวเลขสถิติตลาดคอนโดมิเนียมมาอย่างต่อเนื่อง นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในมุมมองการลงทุนคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ว่า ในประเทศไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเช่น อังกฤษ หรือสิงคโปร์ ยังไม่แพร่หลายเท่า ความแตกต่างสำคัญคือเรื่องระยะเวลาของสัญญาเช่า เนื่องจากคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ ในประเทศไทยมีระยะเวลาการเช่าที่กฎหมายรับรองที่ 30 ปี ในขณะที่ในบางประเทศกฎหมายรองรับถึง 99 ปี
คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Life แถมฟรีมาในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2019 ในรูป e-Magazine
