หนึ่งในกิจกรรมที่สร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่องสำหรับนิตยสารฉบับพิเศษ Wealth Management & Investing โดย Forbes Thailand คือการเปิดเวทีให้ยอดฝีมือด้านการลงทุนจากทั้งสถาบันการเงินต่างๆ และนักลงทุนอิสระนำเสนอฝีไม้ลายมือ วางแผนการลงทุนสำหรับเงิน 100 ล้านบาท (A ฿ 100 MLN PORTFOLIO) ในรอบ 1 ปี
ซึ่งครั้งล่าสุดคือระหว่างเมษายนปี 2559 ถึง 2560 โดยผู้ที่สามารถคว้าชัยในภารกิจล่าสุด คือ ทีม TISCO Wealth Investment Strategists ธนาคารทิสโก้ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทน ในรอบ 12 เดือน อยู่ที่ 13.5% โดยไม่มีสินทรัพย์ใดที่เลือกลงทุนมีผลตอบแทนเติบโตติดลบเลย ทั้งนี้ คมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ได้เปิดใจกับ Forbes Thailand ว่า ในปีที่ผ่านมาได้แบ่งพอร์ตการลงทุนครึ่งหนึ่งไปลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ ญี่ปุ่นและเยอรมนี ส่วนอีกครึ่งหนึ่งลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย พอร์ตการลงทุนให้ผลตอบแทนค่อนข้างน่าพอใจที่ประมาณ 15% สูงกว่า SET index ที่ปรับตัวขึ้นมาราว 10% ในขณะที่ความเสี่ยงของพอร์ตก็ต่ำกว่าโดยผลขาดทุนมากที่สุดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (maximum drawdown) อยู่ที่ 7% ในขณะที่ของ SET index อยู่ที่ 9% จึงทำให้เกิดผลสำเร็จในครั้งนี้ เฉกเช่นที่ผ่านมา ธนาคารทิสโก้ยังคงรับคำท้าเพื่อเฟ้นหาสุดยอดกูรูด้านการลงทุนเป็นครั้งที่ 3 สำหรับเม็ดเงินจำนวน 100 ล้านบาทในช่วงเมษายน 2560 ถึง 2561 ซึ่งได้นำเสนอให้ผู้อ่านติดตามกลยุทธ์ตีโจทย์ด้านการลงทุนและจัดสรรเม็ดเงินทั้งหมด 5 ท่าน คือ ธนาคารทิสโก้, บล. ภัทร, บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล, บริษัท เซ็นจูรี อาร์ จำกัด และ ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ หรือ หยง เทรดเดอร์มืออาชีพ ติดตามกลยุทธ์การลงทุนของ 5 ผู้แข่งขันสุดยอดกูรูด้านการลงทุนครั้งที่ 3 กับเม็ดเงิน 100 ล้านบาทได้ที่นี่! TISCO เศรษฐกิจดีกำไรฟื้นเลือกลงตลาดหุ้น ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะแตกต่างจากปี 2559 มาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัว กอปรกับค่าจ้างซึ่งเริ่มไต่ขึ้นตามตลาดแรงงานที่ตึงตัว ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นด้านการเงิน เช่น การทำ QE และการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ดังเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปีนี้ และประกาศลดขนาดงบดุล โดยการปล่อยให้สินทรัพย์ที่ Fed ซื้อเข้ามาในช่วงที่มีการทำ QE (ปี 2551-2557) ทยอยหมดอายุลงไป นอกจากนั้นธนาคารกลางยุโรป (ECB) น่าจะประกาศลด QE อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางรวมถึงเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น น่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นจะถูกชดเชยจากการกระตุ้นในด้านการคลังด้วยการลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่าย ทั้งในสหรัฐฯและประเทศญี่ปุ่น ด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2559 ขยายตัว 3.0% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 แต่ในปี 2560 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นเป็น 3.4% ตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการค้าโลก ประกอบกับแรงส่งจากนโยบายการคลังเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ไม่ขยายตัวมาตั้งแต่ปี 2558 สามารถกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง โดยอุตสาหกรรมหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของกำไรในปี 2559 ได้แก่ กลุ่มธนาคาร (-3.2%) และกลุ่มพลังงาน (-52.8%) ในปี 2560 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กลับเป็นขาขึ้น และการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จะช่วยให้กำไรใน 2 อุตสาหกรรมนี้ฟื้นตัว ซึ่งน่าจะทำให้ปี 2560 เป็นอีกปีที่ดีของตลาดหุ้น โดยเรายังคงคำแนะนำ overweight ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนที่น่าจะกลับมาอ่อนค่าตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ประกอบกับ valuation ที่ยังถูก และการเติบโตของกำไรที่ต่อเนื่อง ส่วนตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับฐานจากผลกระทบของการยกเลิกการใช้ธนบัตรในช่วงปลายปี 2559 น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงระยะสั้นแต่ในระยะยาวอินเดียยังมีศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล. ภัทร ทิ้งน้ำหนักลงทุนหุ้นกระจายทั้งไทยและเทศ สำหรับมุมมองของ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล. ภัทร ต่อการลงทุน 100 ล้านบาทนั้น ระบุว่า การลงทุนในหุ้นน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว แต่ผลตอบแทนย่อมมาพร้อมกับความผันผวนในระยะสั้น จึงเชื่อว่าการจัดพอร์ตระยะยาวควรมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อลดความผันผวนของเงินลงทุน เมื่อมองไปข้างหน้า ภาพการลงทุนยังอยู่ในภาวะค่อนข้างดี ภาพเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะค่อยๆ ฟื้นตัว กำไรของบริษัทในหลายประเทศยังคงเติบโตได้ดี อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ราคาบ้านและตลาดแรงงานในหลายประเทศกลับมาอยู่ในภาวะปกติ ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มทรงตัว ในภาวะเช่นนี้ จากมุมมองของการกระจายสินทรัพย์ในการลงทุน (asset allocation) ยังคงมีเหตุผลในการลงทุนในหุ้น และด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของหุ้นไทยยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดความเสี่ยงและเปิดโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี มุมมองต่อหุ้นต่างประเทศ- ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ มีความน่าสนใจ พื้นฐานเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น เริ่มเห็นกำไรของบริษัทจดทะเบียน
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีพื้นฐานที่ดี เศรษฐกิจมีศักยภาพสูง มีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ วงจรเศรษฐกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง ราคาบ้านเป็นขาขึ้น นโยบายลดภาษีเงินได้เป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่บางกลุ่มธุรกิจอาจมีผลลบ
- ตลาดหุ้นญี่ปุ่น มีความน่าสนใจจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ปัจจัยพื้นฐานดูดีขึ้น
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
- การปรับลดการกระตุ้นนโยบายการเงินในหลายประเทศ อาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาสินทรัพย์
- ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
- ความเสี่ยงจากการเมืองระหว่างประเทศ
คลิกอ่าน "คัดสรรสุดยอดกลยุทธ์บริหารเงินทุน 100 ล้านบาท" ฉบับเต็ม ได้ที่ Wealth Management & Investing 2017 ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine