“ขยะ” ในปัจจุบันเป็นปัญหาที่ต้องถูกจัดการอย่างเร่งด่วน ปริมาณขยะทั่วโลกจากรายงาน Global Waste Management Outlook 2024 โดยสหประชาชาติระบุว่า ภายในปี 2593 ขยะจากทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.8 พันล้านตัน จาก 2.1 พันล้านตันในปี 2566 โดยคาดว่า จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะทั่วโลกในปี 2593 ที่ 640.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 22.41 ล้านล้านบาท ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับต้นทุนในการบริหารจัดการขยะที่สูงขึ้นทำให้มีแนวทางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ที่เรียกว่า upcycling ในทุกประเทศทั่วโลก
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาการนำขยะหรือของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องของสินค้าที่ไม่คงทน เป็นสินค้าเกรด B เป็นของไม่ดี คนรวยไม่ใช้ แต่ปัจจุบันสินค้าแฟชั่นหลายแบรนด์รวมทั้งลักชัวรี่แบรนด์ต่างประกาศตัวว่านำวัสดุที่เป็นของเหลือใช้กลับมาผลิตสินค้าที่สามารถขายได้ โดยที่ราคาขายสูงมากกว่าราคาเศษวัสดุที่นำกลับมาผลิต 30 เท่า และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีส่วนในการรักษ์โลก ช่วยลดโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่หันมาให้ความสนใจในการผลิตสินค้าจากการนำเศษวัสดุ ขยะ กลับมาผลิตใหม่ อาทิ Maison Margiela โดยดีไซเนอร์ Martin Margiela ที่นำถุงมือเก่ามาทำเป็นเสื้อ นำเศษจานกระเบื้องแตกมาทำเป็นเสื้อกั๊ก หรือการนำเปลือกลูกอมมาทำเป็นชุดเดรส แบรนด์ Coach เปิดตัวคอลเล็กชั่น Coachtopia ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกที่ยังนำเสนอสินค้าแฟชั่น แต่เป็นการผลิตจากกระบวนการหมุนเวียนวัสดุ หรือ upcycling
Nike นำกระบวนการหมุนเวียนวัสดุมาใช้ในการผลิตพื้นรองเท้า Nike Air อย่างน้อยในสัดส่วน 50% ของวัสดุที่ผลิตพื้นรองเท้าทุกแผ่นตั้งแต่ปี 2551 Adidas ใช้วัสดุรีไซเคิลในรองเท้าผ้าใบรุ่น Stan Smith มาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้น
Upcycling ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของสินค้าเกรด B ด้อยคุณภาพ แต่เป็นเรื่องของสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการออกแบบ และคุณค่าของการผลิตสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญเป็นสินค้าที่มีส่วนในการลดมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กลุ่มลูกค้าปัจจุบันให้ความสำคัญ
Upcycling เป็นสิ่งที่ต้องทำ
จากความตระหนักในเรื่องปริมาณของทรัพยากรโลกที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การ upcycling เป็นเรื่องของการออกแบบที่นักออกแบบทั่วโลกต้องใช้ความสามารถในการออกแบบเพื่อลดเศษวัสดุรวมทั้งการออกแบบจากเศษวัสดุ โดยปัจจุบันการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี upcycle มาใช้มีอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ รวมไปถึงโรงพยาบาล สินค้าแฟชั่น ฯลฯ
ในฐานะที่ผมเป็นสถาปนิกจึงจะเขียนถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในกระบวนการก่อสร้างซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างขยะและมลภาวะโดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้นๆ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างเครื่องมือที่มาใช้ในการก่อสร้าง ทั้งการนำขยะจากกระบวนการก่อสร้างกลับมาใช้ใหม่ หรือการใช้เทคโนโลยี Prefab เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัสดุ เช่น การสร้างถนน ผนังระบายอากาศ ทางเท้า เป็นต้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบการก่อสร้างที่ลดการใช้ทรัพยากร ลดขยะในพื้นที่ก่อสร้าง รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้ Mass Timber ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการใช้ไม้ประกอบเป็นเสา คาน พื้น และ ผนัง ในการสร้างอาคาร
Mass Timber Construction เป็นเทคโนโลยีในการนำไม้ที่มีขนาดเล็ก เช่น ไม้ที่มาจากการสร้างป่าปลูกอายุประมาณ 6 ปี ลำต้นยังไม่ใหญ่มาตัดและประกอบให้กลายเป็นไม้ที่สามารถสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาในหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกาเนื่องจากการก่อสร้างโครงสร้างที่ใช้เหล็กและคอนกรีตเสริมเหล็กมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สูง การนำ Mass Timber Technology มาใช้ในการก่อสร้างจึงเป็นทางเลือก ถึงแม้ต้นทุนในการก่อสร้างในปัจจุบันจะแพงกว่าการก่อสร้างแบบดั้งเดิม แต่ความรวดเร็วในการก่อสร้างที่ประหยัดทั้งเวลาและกำลังคนในการก่อสร้างสามารถมาชดเชยกับต้นทุนที่สูงขึ้นในกระบวนการก่อสร้างได้ รวมทั้งยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมาก โดยประเทศที่มีการพัฒนาและก่อสร้างด้วยระบบนี้ในการก่อสร้างอาคารที่สูงเกินกว่า 10 ชั้น อาทิ ประเทศสวีเดน ออสเตรีย เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะต้นทุนค่าก่อสร้างยังสูงกว่าการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก แต่ก็เริ่มมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นำมาใช้ในการพัฒนาโครงการ อย่างการก่อสร้างคลับเฮ้าส์ของโครงการ Mulberry Grove ที่ The Forestia ของบริษัท MQDC ที่บางนา ความสูง14.77 เมตร เป็นการทำงานร่วมกัน
ระหว่างสถาปนิก วิศวกร โรงงานไม้ และผู้บริหารโครงการเพื่อพัฒนา Mass Timber ในการก่อสร้างอาคารนี้ และหลังจากที่ทำอาคารนี้ทำให้รู้ว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะกับประเทศไทยระดับไหน
นอกจาก Mass Timber Technology ที่ใช้ในการทำโครงสร้างอาคารอย่าง Glulam แล้ว ยังมีนวัตกรรมที่เรียกว่า Cross Laminated Timber หรือ CLT โดยการนำไม้มาจับสลับไปมาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อมาใช้ในการทำพื้นและผนังอาคารอีกด้วย
เทคโนโลยีการเก็บและการกักคาร์บอน หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) Technology และเทคโนโลยีการเก็บ กัก และการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน หรือ Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) Technology เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีการศึกษากันทั้งในและต่างประเทศ เป้าหมายเพื่อนำก๊าซคาร์บอนได-ออกไซด์มากักเก็บและนำกลับมาใช้ แต่ยังต้องใช้เงินลงทุนสูงและถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าในการลงทุน
ทั้ง Mass Timber Technology, CCS และ CCUS ล้วนเป็นนวัตกรรมที่ผมเห็นว่ามีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก้าวสู่การเป็น Net Zero CO2 Emission ได้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องของการ upcycling โดยการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ตอนนี้เริ่มมีการวางแผนและดำเนินการสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งในไทยและต่างประเทศกันแล้ว
อย่างตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังทำนอกจากเรื่องการ upcycling เศษวัสดุต่างๆ มาเป็นวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์อัพไซเคิล ของตกแต่งบ้าน และนำกลับมาใช้ในการทำถนนหรือทางเท้าให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว ผม ทีมงาน Osisu และ Lamphun City Lab ยังพยายามทำเรื่องการทำให้เมืองที่กำลังหดตัว
กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเข้าไปทำงานร่วมกับประชาคมของจังหวัดลำพูน ซึ่งโครงสร้างประชากรของลำพูนในปัจจุบันมีจำนวนประชากรลดลงเนื่องจากคนหนุ่มสาวจะย้ายไปทำงานในจังหวัดอื่น ทำให้เรานำแนวคิด upcycling ในการผลิตสินค้า มาสู่การ upcycling เมืองให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่การนำขยะหรือวัสดุเหลือใช้ในจังหวัดลำพูนมาทำถนนหรือออกแบบปรับปรุงอาคารเก่าเพียงเท่านั้น แต่เรานำแนวคิดเรื่อง upcycling มาใช้ในการยกระดับเมืองให้มีชีวิตชีวามากขึ้น โดยการทำแผนแม่บทในการพัฒนาทั้งเมือง โดยเข้าไปดูว่าในปัจจุบันภายในจังหวัดลำพูนมีอะไรที่เป็นปัญหา เช่น ถนนทำไมคนใช้น้อย หรือมีตึกร้างกี่ตึกและที่ไหน จากนั้นเราก็วิเคราะห์ปัญหาและจะนำอะไรมาเป็นจุดที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเมือง ซึ่งเป็นการนำแนวคิดเรื่อง upcycling มาใช้ในการสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับเทศบาลเมืองลำพูน
ผมมองว่า upcycling ไม่ใช่แค่เรื่องของการนำขยะหรือเศษวัสดุกลับมาใช้ใหม่สำหรับสินค้าหรืองานสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้ในการฟื้นฟูเมืองได้เช่นกัน และหัวใจสำคัญของการทำให้ upcycling ในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละประเทศประสบความสำเร็จอยู่ที่ความร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน การทำเพียงลำพังไม่สามารถทำให้เกิดผลได้ เพราะความหลากหลายของเศษขยะและความหลาก-หลายของการนำไปใช้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลและประชากรทั่วโลกต่างร่วมมือกันพัฒนาทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการ upcycling ในทุกอุตสาหกรรม เพื่อลดทั้งปริมาณขยะและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปพร้อมๆ กัน upcycling ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของกระแส แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้
เรื่องและภาพ : รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านนวัตกรรมยั่งยืน บริษัท MQDC
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เศรษฐกิจหมุนเวียน ในพลาสติกรีไซเคิล
