“China's Megatrends” เศรษฐกิจจีน กับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 - Forbes Thailand

“China's Megatrends” เศรษฐกิจจีน กับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14

ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2021 ของจีนเติบโตสูงถึงร้อยละ 18.3  YoY นับเป็นตัวเลขการเติบโตสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีน ได้ประโยชน์จากแรงหนุนอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก และจีนนับเป็นประเทศหลักเพียงประเทศเดียวที่เศรษฐกิจกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้แล้ว

Bloomberg Consensus คาดว่า เศรษฐกิจจีน ปี 2564 จะขยายตัวร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้แรงส่งจากยอดค้าปลีก (Retail Sales) ไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 33.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน (YoY) สะท้อนการจับจ่ายใช้สอยและการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และถ้าดูตัวเลขการส่งออก (Exports) เดือน เม.ย.ที่ขยายตัวร้อยละ 32.3 YoY เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 30.6 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ยังบ่งชี้ว่า แม้ต่างประเทศเริ่มกลับมาเปิดเมืองและเร่งการผลิตสินค้าให้พอกับความต้องการแล้ว แต่ตัวเลขการส่งออกของจีนก็ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง นับเป็นอีกเครื่องยนต์ที่สำคัญของเศรษฐกิจจีน และคาดว่าจะหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมในภาคการผลิตต่อไปในระยะข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ทำให้การประชุมสภาประชาชน (NPC Meeting) ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (China’s 14th Five-year Plan) ซึ่งถือเป็นแผนยุทธศาตร์ชาติที่กำหนดทิศทางของจีนในช่วงปี 2021 – 2025 ถ้ามองย้อนไปในอดีตแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีนเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจของจีน ทำให้ปัจจุบันประชาชนจีนมี GDP per Capita หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวประชากรสูงขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 12,000 เหรียญสหรัฐฯ และเป็นปีแรกที่จีนประกาศ “ชัยชนะต่อความยากจน”   "เศรษฐกิจจีน" แผนภาพที่ 1: แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีน (ที่มา : www.visualcapitalist.com) โดยการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (China’s 14th Five-year Plan) รอบนี้เป็นครั้งแรกที่ ประธานาธิบดี Xi Jinping ได้เข้ามามีบทบาทร่วมวางแผนด้วยตนเอง จากเดิมที่จะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและทีมบริหารเศรษฐกิจ และแผนฉบับนี้มีเป้าหมาย คือ การสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยแผนยุทธศาสตร์ฉบับดังกล่าวมีความน่าสนใจควบคู่กับการลงทุนในหุ้นจีน ดังนี้ ในด้านของเศรษฐกิจ จีนได้เปลี่ยนวิธีการตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่มักจะตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลขชัดเจน เช่น GDP Growth 5 ปี เฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 7 กลายเป็น การตั้งเป้า GDP Growth แบบปีต่อปีและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ ด้วยอัตราการเติบโตในปัจจุบัน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรือ Centre for Economics and Business Research (CEBR) ระบุว่า จากที่จีนมีการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ได้ดี ส่งผลให้ เศรษฐกิจจีน ได้รับผลกระทบน้อย และในระยะยาวจีนมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าสหรัฐฯ โดยคาดว่า ประเทศจีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ในปี 2028 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า "เศรษฐกิจจีน" แผนภาพที่ 2: แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯ ในช่วงปี 2010 - 2035 โดยคาดว่า จีนจะเติบโตแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2028 (ที่มา: CEBR World Economic League Table 2021) นอกจากนี้ นโยบายหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญของแผนยุทธศาสตร์ครั้งนี้ คือ นโยบายการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Green Ecology) ที่ผู้นำทั้งสหรัฐฯ และจีนหันมาให้ความสำคัญกับสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลกมากขึ้น ซึ่งจีนเองก็มีนโยบายที่จะเพิ่มความพยายามเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือ“De-carbonization” โดยตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 18 ของ GDP ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การเป็นประเทศที่ “ปลอดคาร์บอน” (Carbon Neutrality) ให้ได้ภายในปี 2060 ในขณะเดียวกัน ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศในระยะยาว โดยปัจจุบัน จีนถือเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 55 ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ทั้งนี้ สำนักวิจัยด้านการตลาดอย่าง Canalys คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในจีน   "เศรษฐกิจจีน" แผนภาพที่ 3: การคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน เมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทอื่นๆ โดยคาดว่าภายในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ใหม่ (ที่มา: Canalys Estimates, January 2021)   นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านนวัตกรรมเป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้ “Digital Economy” ขึ้นมามีสัดส่วนราวร้อยละ 10 ของ GDP ในปี 2025 ด้วยการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้งเทคโนโลยี 5G, AI (Artificial Intelligence), Internet of Things, Smart Cities และ Semiconductors อีกทั้งยังตั้งเป้างบประมาณการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาให้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 7 ต่อปี พร้อมกับการเพิ่มจำนวนการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมประเภท High-value Innovation ส่งผลให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับขนาดของ GDP การที่จีนให้ความสำคัญในด้านนี้ก็เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติ โดยกลุ่มนวัตกรรมของจีนได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการเร่งตัวของพฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น มีความต้องการใช้งานเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น เช่น การซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบ E-commerce ในจีน ข้อมูลจาก eMarket เปรียบเทียบ E-commerce กับยอดค้าปลีกโดยรวมที่ไม่ถึงร้อยละ 50 ในปี 2020 จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 60 ในปี 2024 และมียอดขายรวมกว่า 3.5 ล้านล้านเหรียญฯ "เศรษฐกิจจีน" แผนภาพที่ 4: แสดงการเปรียบเทียบ E-commerce กับยอดค้าปลีกโดยรวมที่ไม่ถึงร้อยละ 50 ในปี 2020 จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 60 ในปี 2024 และมียอดขายรวมกว่า 3.5 ล้านล้านเหรียญฯ  (ที่มา : www.emarketer.com)   ส่วนในแง่ของการเพิ่มคุณภาพชีวิตประชากร รัฐบาลได้ตั้งเป้าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ปีจาก 77 ปี เป็น 78 ปี ควบคู่ไปกับการสนับสนุนอุตสาหกรรม Healthcare อย่างเต็มที่ ภายใต้ธีม “Healthy China 2030 Plan” เนื่องจากปัจจุบันโครงสร้างประชากรจีนกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้น ประชากรวัยแรงงานซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะต้องได้รับการดูแลสุขภาพ และพัฒนาการรักษาให้มากยิ่งขึ้น เช่น การเร่งอนุมัติยาตัวใหม่ให้เร็วขึ้นจาก CFDA (The China Food and Drug Administration) และสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาตัวยาที่มีคุณภาพร่วมกับบริษัทต่างชาติ รวมถึงการเร่งอนุมัติยาตัวใหม่ให้เร็วขึ้นจาก CFDA (The China Food and Drug Administration) จนทำให้จำนวนยาใหม่ของจีนที่ได้รับการอนุมัติ ในปี 2019 มีทั้งหมด 56 ตัว เทียบกับในปี 2015 2016 ที่มีเพียง 7 และ 9 ตัวตามลำดับ และเป็นครั้งแรกที่จำนวนยาใหม่ที่ได้รับอนุมัติในประเทศจีนสูงกว่าสหรัฐฯ โดยสิ่งที่กำลังเร่งตัวการเติบโตกลุ่มนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือ การวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของจีนที่วิจัยพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับในหลายๆ ประเทศ ได้แก่ Sinovac กับ Sinopharm ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก แต่ด้วยการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน จีนก็ยังพัฒนาวัคซีนประเภทเชื้อเป็น (mRNA) รูปแบบเดียวกับ Pfizer & BioNTech และ Moderna ก็กำลังเข้าสู่การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยวัคซีนที่ชื่อ ARCoV เกิดจากความร่วมมือระหว่างซูโจว อ้ายโป๋ ไบโอไซเอนซ์ (Suzhou Abogen Biosciences) สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (AMMS) และบริษัท วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (Walvax Biotechnology) ในแง่การลงทุนนั้น แน่นอนว่าจะมีกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างมากจากแผนยุทธศาสตร์ของจีน และกลายเป็นหุ้นเมกะเทรนด์ของจีนในอนาคต เช่น ธุรกิจกลุ่ม China Health Innovation ประกอบไปด้วยกลุ่ม Pharmaceuticals, Biotechnology, Healthcare IT, Medical Equipment ที่มีแนวโน้มเติบโตตาม Megatrends สังคมผู้สูงอายุในจีนและได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ รวมถึงกลุ่ม China Consumer Discretionary เช่น กลุ่ม E-commerce, EV, Online Education, Gaming Services ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตตามการบริโภคภายในประเทศและรายได้ต่อหัวของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเราเชื่อว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังอยู่ใน Megatrends ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะ 5 ปีข้างหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงระยะสั้นในการลงทุนตลาดหุ้นจีน คือ “Regulatory Risks” จากการที่รัฐบาลยังคงเข้ามาแทรกแซงและกำกับดูแลกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ E-commerce และ Fintech อยู่บ้าง แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาแล้วก็อาจจะเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน เพราะในระยะยาวเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมีคุณภาพ ตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจีนได้วางเอาไว้   บทความโดย ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ CFP® Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine