เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน - Forbes Thailand

เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน

นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เศรษฐกิจยุโรปก็ประสบปัญหารุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งจากปัญหาหนี้ภาครัฐของกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน) และปัญหาการเมืองที่มีรากฐานมาจากความไม่พอใจของประชาชนที่สั่งสมมานานจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ประกอบกับความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit รวมถึงปัญหาภาคธนาคารมีหนี้เสียในระดับสูง เป็นอุปสรรคต่อการปล่อยกู้และกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเกิน 20% ในหลายประเทศ ประกอบกับมาตรการรัดเข็มขัดของภาครัฐ ที่นำไปสู่การลดสวัสดิการสังคม เช่น การยืดอายุเกษียณและการลดเงินอุดหนุนให้ผู้เกษียณอายุ รวมไปถึงการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งมุ่งลดสิทธิของลูกจ้างเพื่อให้การตลาดแรงงานมีความยืนหยุ่นมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านพรรคการเมืองกระแสหลักที่ประชาชนเห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา และหันไปให้การสนับสนุนพรรคการเมืองเกิดใหม่ ซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัด นอกจากคะแนนความนิยมของพรรคซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัดที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความไม่พอใจของประชาชนยังสะท้อนผ่านการออกเสียงประชามติ Brexit ในเดือนมิถุนายน และการออกเสียงประชามติคว่ำการปฏิรูปการเมืองในอิตาลีในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รวมถึงความพยายามประกาศเอกราชของท้องถิ่น เพื่อแยกตัวออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น ในกรณีแนวร่วม Junts Pel Si ที่เรียกร้องการแยกตัวของแคว้น Catalan ออกจากสเปน เป็นต้น
การเรียกร้องเพื่อแยกประเทศของแคว้น Catalan ในประเทศสเปน (Photo Credit: occupy.com)
ยิ่งไปกว่านั้นการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ Donald Trump ซึ่งชูนโยบายกีดกันทางการค้า และการต่อต้านการรับผู้อพยพเข้าประเทศ อาจเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้กระแสพรรคประชานิยม (populist parties) ในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยในปี 2560 มีการเลือกตั้งที่สำคัญหลายประเทศในยุโรป ได้แก่ การเลือกตั้งในประเทศเนเธอร์แลนด์ วันที่ 15 มีนาคม 2560 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าพรรคฝ่ายขวา PVV ต้องการจัดทำประชามติเพื่อให้เนเธอร์แลนด์ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 23% ขณะที่พรรครัฐบาลปัจจุบัน (VVD) ความนิยมลดลงเป็น 16% โอกาสที่จะได้พรรคต่อต้านสหภาพยุโรปขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงค่อนข้างสูง สำหรับฝรั่งเศสจะจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2 รอบ ในวันที่ 23 เมษายนและ 7 พฤษภาคม โดยในรอบแรกจะเป็นการคัดเลือกเอาผู้สมัครที่มีคะแนนมากที่สุด 2 ลำดับแรกไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งรอบที่ 2 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า Francois Fillon จากพรรค The Republicans และ Marine Le Pen จากพรรค National Front ซึ่งเคยกล่าวว่าจะจัดทำประชามติเพื่อให้ฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เป็นสองรายที่มีคะแนนนำที่ 65% และ 35% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม คะแนนความนิยม Fillon มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ Le Pen มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่ Le Pen จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีและจัดทำประชามติเพื่อออกจาก EU ยังคงมีอยู่
Marine Le Pen ผู้นำพรรค National Front (FN) พรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส
 

ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit

นอกจากความไม่แน่นอนทางการเมือง จากการเลือกตั้งในหลายประเทศแล้ว ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นและการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป โดย Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการแถลงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวในการเจรจา Brexit เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา โดยย้ำถึงความสำคัญในการควบคุมจำนวนผู้อพยพ การยกเลิกการยอมรับขอบเขตของอำนาจศาลและกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภายุโรป และการลดการจ่ายเงินอุดหนุนให้สหภาพยุโรป ด้านการค้า Theresa May ย้ำว่า อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกตลาดเดียว (single market) ซึ่งต้องยอมรับกฎการเคลื่อนย้ายเสรี 4 ประการ (4 freedom) ได้แก่ สินค้า บริการ ทุน และแรงงาน เนื่องจากอังกฤษต้องการจำกัดจำนวนผู้อพยพ นอกจากนี้อังกฤษจะไม่เป็นสมาชิกสหภาพศุลกากร (Custom Union) ซึ่งกำหนดให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากนอกกลุ่มในอัตราเดียวกันทั้งหมด เนื่องจากอังกฤษต้องการอิสระในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ
Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
จากแนวทางดังกล่าว อังกฤษอาจจะต้องเริ่มเจรจาการค้ากับ EU ใหม่ทั้งหมด อังกฤษจะมีเวลาในการเจรจาเพียง 2 ปีตามข้อกำหนดในมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การเจรจายังน่าจะคืบหน้าได้ช้าในปีนี้ เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น Theresa May ยังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว โดยกล่าวว่าอังกฤษพร้อมที่จะหันหลังให้กับการเจรจา (“No deal is better than bad deal”) หากผู้นำสหภาพยุโรปต้องการลงโทษอังกฤษผ่านการกีดกันทางการค้าเพื่อเป็นการปรามประเทศอื่น ที่อาจต้องการออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการเจรจาการค้าและทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปถูกกระทบอย่างรุนแรง  

ปัญหาในภาคธนาคาร

อีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป ได้แก่ ปัญหาในภาคธนาคารที่มีหนี้เสียอยู่ในระดับสูง และผลกำไรที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางยุโรปซึ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (net interest margin: NIM) ของธนาคารหดแคบลง ผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารกลางยุโรป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าธนาคารที่มีฐานะทางการเงินแย่สุดในยุโรป ได้แก่ ธนาคาร Monte dei Paschi (BMPS) ของอิตาลี ซึ่งตามสมมติฐานในการทดสอบธนาคารจะมีสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ลดลงติดลบ -2.4% ในภาวะวิกฤต ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 4.5% ธนาคารกลางยุโรปกำหนดให้ BMPS จัดการเพิ่มทุนให้เสร็จภายในสิ้นปี 2016 โดย BMPS เสนอแผนการเพิ่มทุนจำนวน 5 พันล้านยูโร โดยการขายหุ้นให้กับ Sovereign Wealth Fund ของประเทศกาตาร์ แต่แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวล้มเหลวหลังกองทุนจากกาตาร์ประกาศถอนตัว ซึ่งทำให้รัฐบาลอิตาลีต้องขออนุมัติเงินช่วยเหลือภาคธนาคารจำนวน 2 หมื่นล้านยูโร สำหรับการเพิ่มทุนให้ BMPS รวมถึงธนาคารอื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีปัญหา วิกฤตธนาคารอิตาลีในครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารที่มีปัญหาเป็นธนาคารขนาดไม่ใหญ่ และวงเงินที่ใช้ในการเพิ่มทุน (2 หมื่นล้านยูโร) นั้นคิดเป็นเพียง 1% ของ GDP อิตาลี และน้อยมากหากเทียบกับ GDP โดยรวมของยุโรป ปัญหาของธนาคารในอิตาลี แม้จะมีโอกาสน้อยที่จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจและภาคธนาคารในยุโรปที่ยังมีฐานะทางการเงินอ่อนแอ และยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องเพิ่มทุนหากเศรษฐกิจยังเติบโตในระดับต่ำ นอกจากนั้น การเข้าช่วยเหลือภาคธนาคารจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับรัฐบาลอิตาลี ซึ่งมีหนี้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว (130% ของ GDP) และอาจเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่วิกฤตหนี้ภาครัฐฯ โดยความเสี่ยงวิกฤตหนี้ภาครัฐในยุโรป อาจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เมื่อมาตรการ QE ของ ECB ใกล้หมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งหากธนาคารกลางยุโรปไม่มีการต่ออายุมาตรการ QE หรือมีการลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ ก็อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปเพิ่มขึ้น และทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นตาม   คมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน TISCO Economic Strategy Unit (ESU)