สหรัฐฯ-จีน กับสงครามเย็นในศตวรรษที่ 21 TRADE WAR, TECH WAR AND COLD WAR - Forbes Thailand

สหรัฐฯ-จีน กับสงครามเย็นในศตวรรษที่ 21 TRADE WAR, TECH WAR AND COLD WAR

เป็นช่วงเวลากว่าครึ่งปีที่ทั่วโลกต่างเผชิญกับปัญหาไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้รับผลกระทบกันอย่างหนักหนาสาหัส และส่งผลให้เราเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจัดเต็มของรัฐบาลและธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก

ทั้งการลดดอกเบี้ยนโยบาย การพิมพ์เงินเข้ามาพยุงตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น เพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบกับภาคประชาชนและธุรกิจเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

นักลงทุนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายการเงิน ทำให้มีสภาพคล่องล้นระบบกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้น จนทำให้ตลาดฟื้นกลับขึ้นมามากเกินกว่าครึ่งทางที่เคยลดลงไปแล้ว

ตัวเลข GDP ของโลกที่เคยคาดการณ์กันไว้ว่าจะลดลง -3% ปัจจุบัน มองเห็นเหลือตัวเลข -1.5% และในบางประเทศอาจเห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ เช่นประเทศจีน ที่ยังคาดว่า GDP น่าจะเป็นบวกได้ สำหรับประเทศไทยเราเคยคาดการณ์ว่า GDP จะลดลงถึง -5 ถึง -6% แต่ประมาณการปัจจุบันลดลงเพียง -2%

อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้ยังไม่ได้ผ่านพ้นไป เพราะนับถึงปัจจุบันเพียง 6 เดือน มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วมากกว่า 8 ล้านคน ในบางประเทศ มีทรัพยากรด้านสาธารณสุขไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการประท้วงและมีความวุ่นวายตามมา

เรามีความหวังกันว่ามนุษย์จะสามารถหาหนทางหยุดยั้งภัยร้ายในครั้งนี้ได้โดยเร็ว และมีวัคซีนป้องกันได้ทันท่วงที ก่อนที่โอกาสความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอกที่สองจะมีเพิ่มขึ้นเมื่อประเทศต่างจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในปีนี้

ในภาพของการลงทุนตลาดเงินและตลาดทุนที่ดีขึ้น ความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนก็มีแนวโน้มจะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง การเกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ปะทุขึ้นมาเร็วกว่าที่คาดกันไว้ก็น่าจะสืบเนื่องมาจากประชาชนในสหรัฐฯ มองว่าการระบาดของไวรัสเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการป้องกัน ทำให้ Trump เสียเสียงจำนวนไม่น้อยในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่ช้านี้  จนต้องทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันเริ่มหาหนทางในการหาเสียงและเบี่ยงประเด็นโดยผลักให้ประเทศจีนเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะต้นตอของการระบาด

ตั้งแต่การที่สหรัฐฯ กล่าวหาจีนว่าไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดมาจากจีน และเรียกว่าเป็น “Chinese Virus” การสนับสนุนฮ่องกงโดยผ่านร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น ไม่จบเพียงแค่การเป็น Trade war แต่อาจลุกลามถึงขั้นเป็นสงครามเย็นที่กินระยะเวลานานหลายสิบปี เหมือนสมัยโซเวียตในช่วง 1950-1991

เพราะปัจจุบันนโยบายของทั้งสองประเทศเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าเป็นคู่แข่ง โดยจีนต้องการก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจผู้นำของโลกเช่นเดียวกับสหรัฐฯ ในขณะที่ผู้นำโลกคนปัจจุบันอย่างสหรัฐฯ ย่อมไม่ปล่อยให้คู่แข่งขึ้นมามีอำนาจ และมีผลต่อ international rule orders และประโยชน์ของสหรัฐฯ ในเวทีโลกได้ในอนาคต

 

จีนพันธมิตรคู่ค้าคนสำคัญ กลับกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ

ย้อนกลับไปพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยประเทศจีนต้องการปฏิรูปประเทศ เริ่มในสมัยของ Deng Xiaoping เป็นต้นมา สมัยนั้นความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯเป็นไปอย่างราบรื่น เอื้ออำนวยซึ่งกันและกันในลักษณะของ Strategic Alliance เพราะเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศในช่วงแรก มีแรงงานราคาถูกจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯเองก็ต้องการให้จีนเป็นฐานการผลิตสินค้าราคาถูกให้กับสหรัฐฯ และเป็นผู้ผลิตสินค้าป้อนตลาดทั้งโลกได้

Made in china กลายเป็นสัญลักษณ์ที่พูดถึงกันมาตลอด มีการขยายการลงทุนของบริษัทในสหรัฐฯ และหลายประเทศเข้าไปยังประเทศจีน และได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปด้วยโดยไม่มีความกังวลหรือต้องปิดกั้น เหมือนอย่างในปัจจุบัน ต่อมาสหรัฐฯ เองก็ได้สนับสนุนให้จีนเข้าสู่ WTO ในขณะที่นโยบายของจีนเองก็อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างเปิดเสรีทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพาต่างประเทศ จึงยังไม่มีนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นคู่แข่งหรือท้าทายอำนาจกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ

ส่วนสหรัฐฯเองก็มองจีนในลักษณะของเศรษฐกิจต่างตอบแทน เพราะต้องการฐานการผลิตสินค้าราคาถูก และเมื่อความเป็นอยู่ของประเทศจีนดีขึ้น ย่อมหมายถึงตลาดขนาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคนที่มีกำลังบริโภคที่จะสนับสนุนให้สินค้าของสหรัฐฯ เปิดตลาดได้มากขึ้นด้วย

จนกระทั่งถึงยุคของประธานาธิบดี Xi Jinping เป็นช่วงที่ประเทศมีความพร้อมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ กำลังทหาร และการเมืองภายในจีนเองมีความมั่นคงมากที่สุด ในขณะที่ชาติตะวันตกกำลังประสบปัญหาการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ยุค subprime จนถึงวิกฤตภาคสถาบันการเงินในยุโรป

จีนจึงกลายเป็นประเทศที่โดดเด่น และมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่สองของโลก และมีส่วนช่วยประคับประคองเศรษฐกิจโลกในเติบโตต่อมาได้ ดังนั้น ถึงเวลาที่ความฝันของจีนที่ต้องการเป็นมหาอำนาจของโลกจึงถูกประกาศออกมาให้ทุกประเทศได้ทราบถึง China dream ที่ต้องการขยายอิทธิพลและแสนยานุภาพของจีน และต้องการให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลก เช่นเดียวกับประเทศตะวันตก และประวัติศาสตร์ในอดีตที่จีนเคยเป็นมหาอำนาจมาก่อนแล้ว

ดังนั้น ท่าทีของสหรัฐฯ ที่มองประเทศจีนในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เปลี่ยนไปจากประเทศที่เกื้อหนุนซึ่งกัน กลับกลายมาเป็นคู่แข่งที่ต้องระวัง นโยบายการปฏิรูปประเทศของจีนต้องการเปลี่ยนไปสู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงก็ย่อมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแสนยานุภาพทางด้านอาวุธและกองทัพ ซึ่งก็เป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจในการต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ

และนั่นย่อมจะเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อสหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้จีนเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงกับสถานภาพของความอภิมหาอำนาจที่สหรัฐฯ ครอบครองมาอย่างยาวนาน ภายหลังตั้งแต่ที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย และรัสเซียเริ่มอ่อนกำลังไป

 

สงครามเย็นยุคใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ผลลัพธ์ครั้งนี้อาจไม่เหมือนเดิม

สงครามเย็นระหว่างโซเวียตและสหรัฐฯ ในช่วงยุคศตวรรษที่ 20 นั้นจบลงที่การพังทลายของกําแพงเบอร์ลิน ส่งผลให้สหภาพโซเวียตล่มสลายและแตกออกเป็นหลายประเทศ เช่น รัสเซีย และยูเครน ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการแซงชั่นรัสเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้รัสเซียกลับมาเป็นมหาอำนาจได้อีกครั้ง

โดยหากเรามาดูปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้โซเวียตแพ้สงครามเย็นเปรียบเทียบกับจีนในยุคปัจจุบันนั้น จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันซึ่งทำให้ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอยเดิมเสมอไป

ปัจจัยข้อที่ 1 ระบบเศรษฐกิจและรายได้ - รายได้ของโซเวียตนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกน้ำมันดิบเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ช่วงปี 1980 ที่เกิดวิกฤตราคาน้ำมันลดจากระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรล เหลือเพียง 30-40 เหรียญ เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ทำให้ประเทศรายได้ลดลง

ซึ่งแตกต่างกับจีนที่เป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มีรายได้มาจากหลายแห่ง และมียุทธศาสตร์ Made in China 2025 กับ Belt and Road Initiative (BRI) หรือที่รู้จักกันในนามเส้นทางสายไหมที่เป็นแผนระยะยาวเพื่อบรรลุ Chinese dream ในปี 2049

ปัจจัยข้อที่ 2 นโยบายการทำสงคราม - โซเวียตนั้นได้ก่อสงครามหลายแห่ง เช่น สงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ที่กินระยะเวลายาวนานถึง 9 ปี ส่งผลให้มีรายจ่ายเป็นจำนวนมาก ทำให้เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันเศรษฐกิจในประเทศจึงตกต่ำ แตกต่างกับจีนที่สร้างประเทศจนแข็งแกร่งก่อน โดยแม้จะมีความขัดแย้งเช่น ทิเบต ซินเจียง เกาะฮ่องกง และสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้มีการใช้กำลังทหารโดยตรงเท่าใดนัก

ปัจจัยข้อที่ 3 การควบคุมภายในประเทศ - สหภาพโซเวียตไม่สามารถควบคุมอาณาจักรที่ปกครองได้อย่างเด็ดขาด ส่งผลให้เมื่อผู้นำหรือประเทศที่เริ่มอ่อนแอลง ก็ทำให้เกิดการประท้วงและแยกตัวออกมาจนล่มสลายในท้ายที่สุด

จากสงครามการค้าที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่า จีนเป็นทั้งคู่ค้าและคู่แค้นสำคัญของสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถใช้มาตรการอะไรที่รุนแรงโดยตรงมากนัก เพราะสหรัฐฯ ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน

โดยสงครามเย็นในรอบนี้จีนคงไม่เพลี่ยงพล้ำซ้ำรอยเดิมเหมือนโซเวียต อีกทั้งสหรัฐฯ ยังมีศัตรูเก่าทั้งรัสเซีย เกาหลีเหนือ และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง รวมถึงปัญหาภายในประเทศ เช่น ปัญหาสีผิวและความไม่เท่าเทียมกันอีกด้วย

 

สถานการณ์ในอนาคต และกลยุทธ์เพื่อรับมือต่อจากนี้ไป

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาในยุคของประธานธิบดี Trump สหรัฐฯพยายามสกัดกั้นจีนในทุกมิติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน เงินทุน และการปิดกั้นทางด้านเทคโนโลยี เพื่อบั่นทอนขีดความสามารถของจีนให้ได้มากที่สุด

โดยการกดดันจีนในหลายรูปแบบที่ปรากฏออกมา ทั้งสงครามการค้า การกล่าวหาเรื่องการขโมยเทคโนโลยี การเข้าแทรกแซงการเมือง ทั้งในไต้หวันและฮ่องกง การกีดกั้นบริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น Huawei ที่ถูกมองว่ามีรัฐบาลจีนหนุนหลัง การบอกว่าจีนเป็นต้นกำเนิดไวรัสโควิด-19 เป็นต้น

เรามองว่าความขัดแย้งจะมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ เพราะไม่ว่าใครขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ การที่มองว่าสหรัฐฯ มีภัยคุกคาม ย่อมไม่สามารถยอมถอยออกมาได้ เพียงแต่ช่วงนี้ทั้งสองประเทศยังไม่เร่งความขัดแย้งให้มีเพิ่มมากขึ้น เพราะหากดำเนินการในปีนี้ย่อมจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของตัวเองให้ได้รับผลกระทบอีก

อย่างไรก็ตาม กรณีที่แย่ที่สุดคือ หาก Trump รู้ตัวว่าเสียคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้งก็อาจจะตัดสินใจชูเรื่องความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น เพื่อพยายามดึงฐานเสียงให้กลับมาก็เป็นได้

 

กลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว

เรายังคงชอบการลงทุนในตลาดจีนในระยะยาว 3-5 ปี จากปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มดีมากกว่าภูมิภาคอื่น กับการลงทุนในระยะยาวในกลุ่ม Thematics เนื่องจากไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ เราก็จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญคือกลุ่มเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้าน Hardware software Semiconductor หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง EV car และ Battery เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี

สำหรับอีกสินทรัพย์นึงที่น่าสนใจคือทองคำ ที่เหมาะกับการถือไว้เพื่อปกป้องอำนาจซื้อของเงินที่ปัจจุบันถูกลดมูลค่าลงด้วยการทำ QE ของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งหากความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไป การลงทุนในทองคำในช่วงเวลานี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

โดยหากเราแบ่ง Bull Cycle ของทองคำนั้นจะมี 3 ช่วงดังนี้

ช่วงที่ 1 ปี 1969-1980 (122 เดือน) ทองคำราคาปรับเพิ่มขึ้น +1,519% - ช่วง Nixon Shock ที่ประกาศไม่ผูกเงินดอลลาร์กับทองคำอีกต่อไป และเป็นช่วงที่สงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย

ช่วงที่ 2 ปี 1999-2011 (145 เดือน) ทองคำราคาปรับเพิ่มขึ้น +611% - ช่วง Dotcom Bubble และ Subprime Crisis ในสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป

ช่วงที่ 3 ปี 2015- ปัจจุบัน (55 เดือน) ทองคำราคาปรับเพิ่มขึ้น +63% - ช่วง Brexit กับการที่ Trump ได้รับชัยชนะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และไวรัสโควิด-19

 

กลยุทธ์การลงทุนในช่วงปี 2020

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงจากนี้จนถึงปลายปีนั้น ควรจะปรับกลยุทธ์การถือหุ้นให้สั้นลง เพราะ valuation ของหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้วพอสมควรจาก sentiment ในเชิงบวกของการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และเม็ดเงินที่อัดฉีดที่เข้ามาอย่างมหาศาล

ดังนั้นแม้ว่าระยะสั้นตลาดยังมีช่องให้ปรับตัวขึ้นได้จากสภาพคล่องหนุน แต่ระดับราคาหุ้น ปัจจุบันยังไม่ได้ price in เรื่องของความขัดแย้งว่าจะประทุขึ้นในปีนี้มากนัก หากเกิดขึ้นขายทำกำไรจะทำให้ตลาดปรับฐานลงมาได้พอสมควร ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น

โดยสำหรับหุ้นจีนนั้นแม้จะมีปัจจัยพื้นฐานดีแต่มีความเสี่ยงของการปรับฐาน ดังนั้นเราจึง แนะนำว่าควรจะรอเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนเมื่อตลาดย่อตัวลงมา แล้วจึงค่อยกลับเข้าลงทุนใหม่หลังจากตลาดมีการปรับฐาน

    โดย ศรชัย สุเนต์ตา กรรมการผู้จัดการ Chief Investment Office บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine