เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งจีน ญี่ปุ่น และสองเกาหลี ต่างมีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางทางการทูต ความสัมพันธ์ทางการค้า และนโยบายทางการทหารกันทั้งสิ้น และเป็นความเปลี่ยนแปลงของการเล่นเกมอำนาจ ที่อาจเป็นลางบอกชี้ว่าถึงยุคใหม่ของภูมิภาคนี้แล้ว
ความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและฉับไวที่สุด หนีไม่พ้นการเยือนเกาหลีใต้ของประธานาธิบดีจีน Xi Jinping ซึ่งถือว่าเป็นการตบหน้าเกาหลีเหนือ โทษฐานดื้อดึงที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคำร้องขอ ให้ล้มเลิกโครงการทดลองนิวเคลียร์ และขอความร่วมมือในการลงทุนทางเศรษฐกิจ จากทางการจีน โดยก่อนหน้านี้ ไม่เคยปรากฎว่าผู้นำจีนจะเดินทางเยือนเกาหลีใต้ก่อนเกาหลีเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นชาติพันธมิตร ที่จีนได้ปกป้องคุ้มครองมาตั้งแต่ครั้งสงครามเกาหลี ความแปลกใจอีกประการก็คือ ประธานาธิบดีจีนมิได้ปกปิดความไม่พอใจในโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ในคำปราศรัยอันยืดยาวแต่นุ่มนวลเลย แถมยังบอกว่าจะอยู่ข้างประธานาธิบดีเกาหลีใต้ Park Geun-hye เสียอีก ขณะที่เธอกล่าวว่าทั้งสองประเทศเห็นพ้องต้องกันว่า เกาหลีเหนือจะต้องยุติการทดลองระเบิดนิวเคลียร์โดยไม่มีข้อแม้ ต้องไม่เดินหน้าการทดลองในครั้งที่สี่อีกต่อไป หลังจากเริ่มต้นใต้พื้นดินครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมปี 2006 ครั้งต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2009 และเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็น "การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เพื่อปกป้องตัวเอง" การแสวงหาความร่วมมือระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ มิใช่มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น แต่ผู้นำสองประเทศยังหารือเกี่ยวกับธุรกิจอีกหลากหลายด้าน รวมถึงเจรจาแลกเปลี่ยนกันเพื่อทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี โดยเกาหลีใต้มีจีนเป็นคู่ค้าใหญ่ลำดับที่สาม ขณะที่จีนค้าขายกับเกาหลีใต้มากที่สุด โดยในปีที่ผ่านมา สองชาตินี้ทำการค้ามีมูลค่ารวมถึง 275,000 ล้านเหรียญ มากกว่าที่จีนทำกับเกาหลีเหนือถึง 40 เท่า ซึ่งทางจีนส่งออกสินค้าอาหารกว่าครึ่ง และส่งออกเชื้อเพลิงถึง 80% แต่ทว่าในเกมอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้น ผู้เล่นรายอื่นๆ ต่างก็ถือไพ่ตายไว้ในมือตัวเองเช่นกัน ด้านนายกรัฐมนตรีฝ่ายขวาของญี่ปุ่น Shinzo Abe ตระหนักชัดถึงความจำเป็นที่ญี่ปุ่นต้องส่งกองกำลังทหารไปยังต่างแดน โดยยืนยันในสิทธิปกป้องดินแดนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน (collective defense) แม้ว่าจะถูกกำกับโดยรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ที่ร่างโดยสหรัฐฯ ขณะเข้ายึดครองหลังสงครามโลกก็ตาม นั่นหมายถึงญี่ปุ่นพร้อมแล้วสำหรับกองกำลัง "ปกป้องตัวเอง" ที่มีระเบียบวินัยดีเยี่ยม มีอาวุธชั้นสูง สามารถเคลื่อนพลพร้อมด้วยเรือรบ เครื่องบิน อาวุธ และกองทหาร ไปยังต่างแดน เพื่อสนับสนุนพันธมิตรอเมริกัน หรือชาติอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน โดยอาจจะครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนกล่าวอ้างสิทธิถือครอง และแน่นอนว่าย่อมจะเคลื่อนกำลังขึ้นลงตามชายฝั่งตะวันออกของจีน จากเกาะไต้หวันไปยังทะเลจีนตะวันออก ซึ่งจีนได้ท้วงติงญี่ปุ่นในการครอบครองเกาะ Senkakus ที่จีนเรียกว่า Diaoyu มาแล้ว หลังจากการแสดงท่าทีร่วมกันระหว่างจีนและเกาหลีใต้ไม่กี่วัน นายกฯ Abe ก็สร้างความประหลาดใจ ด้วยการประกาศแผนยกเลิกการแซงชั่นเกาหลีเหนือในบางเรื่อง และนั่นทำให้เรือของเกาหลีเหนือสามารถไปกลับญี่ปุ่นได้ โดยมิใช่่แค่เรือบรรทุกสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้โดยสารด้วย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มีบรรพบุรุษเป็นคนเกาหลี เรื่องนี้เป็นเรื่องต่างตอบแทนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทางเกาหลีเหนือรับปากว่าจะดูแลชะตากรรมของพลเมืองอย่างน้อย 17 ราย ซึ่งชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเชื่อว่าถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวไปจากญี่ปุ่น ซึ่งทางเกาหลีเหนือเองไม่เคยยอมรับมาก่อนเลย จนปี 2002 ปลายสมัยผู้นำ Kim Jong-il ที่อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น Junichiro Koizumi ได้เรียกร้องเรื่องนี้ด้วยตัวเองที่ Pyongyang ทำให้ทางเกาหลีเหนือต้องขอโทษ ที่ได้ลักพาตัวชาวญี่ปุ่น 13 ราย แต่เหลือเพียงห้ารายเท่านั้นที่กลับบ้านได้อย่างมีชีวิต หากว่าญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือจะสานสร้างความสัมพันธ์ โดยใช้ความเป็นมิตรนี้ยับยั้งเกาหลีใต้ คำตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงที่มีต่อญี่ปุ่นเกี่ยวกับผู้หญิงพื้นเมืองที่ถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอทหารญี่ปุ่น หรือ comfort women ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คงต้องเลิกรากันไป ใครจะคิดได้บ้างว่าญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือจะสามารถขุดกลบความแปลกแยกในอดีตของพวกเขา เพียงเพื่อสานสัมพันธ์ในทางการฑูต? หากลองพิจารณาความใกล้ชิดระหว่างประเทศทั้งสอง มองถึงการค้าขายในอนาคตข้างหน้า พิจารณาถึงทรัพยากรธรรมชาติมากมายในเกาหลีใต้ ก็มิใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หลังจากที่เกาหลีเหนือได้มีความสัมพันธ์กับประเทศฝั่งตะวันมากมาย แน่นอนว่ารวมทั้งจีนและรัสเซีย ซึ่งทั้งคู่ช่วยเหลือมาตั้งแต่ยุคสงคราม สิ่งหนึ่งที่เตือนใจเราคือเกาหลีเหนือซึ่งกำลังทำดีกับรัสเซีย จนได้รับการยกหนี้กว่า 10,000 ล้านเหรียญ และยังกำลังเจรจายอดเงินอีก 1,000 ล้านเหรียญ เพื่อสานฝันสร้างทางรถไฟวิ่งผ่านจากเกาหลีเหนือสู่เกาหลีใต้ เหตุที่ประธานาธิบดีปูติทำเช่นนี้ เป็นการโต้ตอบสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกรณี Ukraine หรือ? อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่ารัสเซียส่งก๊าซธรรมชาติให้กับทั้งสองเกาหลีอยู่แล้ว รวมทั้งการขนส่งสินค้าก็มาจากท่าเรือในเกาหลีใต้ที่ Pusan แล้วส่งผ่านเส้นทางสายทรานไซบีเรีย ไปสู่ตลาดในยุโรปตะวันตกได้อยู่แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นขณะเกาหลีเหนือกำลังวุ่นวายในการทดลองขีปนาวุธระยะไกล โดยไม่มีที่ไหนเลยที่จะยอมให้ปล่อยจรวดนำดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรอวกาศ และทางสหรัฐฯ เองก็กำลังกังวลว่ากำลังตกเป็นเป้าหรือไม่ ทั้งที่จริงแล้ว ขีปนาวุธเหล่านั้นสามารถโจมตีเป้าหมายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ได้ง่ายกว่ามาก ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือเวลานี้ ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้อะไรเลย หากว่าจีนจะยังคงต่อรองกับทั้งสองเกาหลี ทางสหรัฐฯ ก็คงต้องยึดมั่นต่อพันธมิตรที่มาแต่อดีต แต่ต้องแยกขาดจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น การเดินทางของประธานาธิบดีจีนเหมือนจะเป็นความพยายามกีดกันไม่ให้เกาหลีใต้ แสวงหาข้อตกลงที่น่าพึงพอใจกับญี่ปุ่น แล้วทางสหรัฐฯ ล่ะ คนเกาหลีใต้มากมายกำลังกล่าวว่า ทาง Seoul ไม่ควรจะเรียกร้องอะไรจาก Washington มากกว่าที่เป็นมาแล้วเรียบเรียงจาก Asia Power Games: South Korea Hosts China, North Korea Deals On Japanโดย Donald Kirk