ธุรกิจฉีกกฎ - Forbes Thailand

ธุรกิจฉีกกฎ

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Feb 2017 | 03:42 PM
READ 2804

แม้ครั้งหนึ่งฝันเกือบสลาย แต่ในที่สุด David Kong ก็ปั้นธุรกิจแห่งความตายจนประสบความสำเร็จ ซึ่งหากมองย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วไม่มีใครในมาเลเซียกล้าแตะต้องธุรกิจนี้เป็นแน่

เมื่อครั้งที่ David Kong ผุดไอเดียธุรกิจจัดงานศพขึ้นในประเทศมาเลเซียเมื่อปี 1985 ไม่มีใครแม้แต่จะรับฟัง ธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้ ส่วนทางการท้องถิ่นก็ไม่อนุมัติคำร้องขอเปิดสุสาน แต่ Kong ไม่ล้มเลิกความพยายาม ทุกวันนี้ บริษัท Nirvana Asia ของเขากลายเป็นบริษัทจัดงานศพอย่างครบวงจรแห่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการอาบน้ำยาศพ ฝัง และ เผา ตลอดจนออกแบบโลงศพ สร้างหลุมฝังศพ จัดทำโกศบรรจุอัฐิ และให้บริการจัดงานศพ ซึ่งโดยมากแล้วเป็นพิธีกรรมและพิธีสวดศพตามธรรมเนียมโบราณทางพระพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า จะว่าไปแล้วก็นับเป็นธุรกิจที่แปลกเอาการ ผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งมอบล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ศาสนา และขนบธรรมเนียม ผู้ดูแลศพก็คือพระสงฆ์กับนักบวช จิตวิญญาณขับกล่อมด้วยถ้อยคำจากสมัยอดีตขณะประกอบพิธีกรรมขั้นตอนสุดท้าย “ทุกๆ ชีวิตควรจากไปอย่างมีเกียรติ” Kong ให้สัมภาษณ์ ณ ศูนย์ Nirvana Center ความสูง 18 ชั้น ใจกลางกรุง Kuala Lumpur “เราสรรเสริญชีวิตและเกียรติประวัติที่ได้รับตลอดช่วงชีวิต เราต้องการสร้างความมั่นใจว่าการเดินทางเปลี่ยนผ่านสู่อีกมิติหนึ่งเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ ทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทั้งผู้ที่จากไปและคนรักของพวกเขา” Kong วัย 61 ปี หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Kong Hon Kong ทำเงินได้มากมายมหาศาลจากธุรกิจดังกล่าว เขานำ Nirvana เข้าทำสัญญากับ CVC Capital Partners บริษัทใน London ที่ประเมินมูลค่าบริษัทของเขาไว้ที่ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ CVC ตกลงซื้อหุ้น 43% คิดเป็นเงินเข้ามือ Kong 200 ล้านเหรียญ ในเวลานี้ เขายังคงถือหุ้นอยู่ 38% ซึ่งลดลงมาจาก 42.7% และจะยังคงนั่งเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทต่อไป โดยมี Orchid Asia ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เป็นเจ้าของหุ้นอีก 19% ที่เหลือ เมื่อเดือนมีนาคม 2016 Kong ติดโผการจัดอันดับ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในมาเลเซียของ FORBES ASIA เป็นครั้งแรกในอันดับ 34 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 550 ล้านเหรียญ ในเวลานี้ ทรัพย์สินของเขาน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 720 ล้านเหรียญ Nirvana บริหารสุสาน 13 แห่ง ห้องเก็บโกศ 14 แห่ง โรงประกอบพิธีฌาปนกิจศพ 2 แห่ง และเมรุ 6 แห่งในมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และจีน ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Frost & Sullivan ระบุว่า ในแต่ละประเทศที่ Nirvana ดำเนินธุรกิจอยู่นั้นบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าคู่แข่งในอันดับรองลงมาถึง 5 เท่าเป็นอย่างน้อย Liew Kee Sin ประธาน Eco World Development กล่าวถึง Kong ซึ่งรู้จักกันมา 20 ปีแล้วว่า “เขาเปลี่ยนเรื่องต้องห้ามของสังคมให้กลายเป็นธุรกิจที่ประกอบไปด้วยการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการปลอบประโลม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัจธรรมที่หนีไม่พ้นเข้าไว้ด้วยกัน ทุกวันนี้หลายคนไม่กลัวความตายแล้ว พวกเขาพูดถึงความตายของตัวเอง อีกทั้งยังเตรียมแผนการรองรับไว้อีกด้วย” หลังจากที่ดำเนินกลยุทธ์ส่วนแบ่งการตลาดแล้ว Nirvana นำเสนอแพ็กเกจออกมาในราคาต่างๆ เช่น พื้นที่ฝังศพในทำเลทองอาจจะมีราคาสูงถึง 2.5 ล้านเหรียญ ส่วนโลงศพชุบทองสนนราคาอยู่ที่ 350,000 เหรียญ ตัวแทนจำหน่ายกว่า 3,000 คนจะเสนอแพ็กเกจที่เรียกว่า “ความจำเป็นสำหรับอนาคต” ให้กับลูกค้าที่อาจจะมีอายุเพียง 40 ปีซึ่งกำลังวางแผนอนาคตไว้ล่วงหน้า รายได้ราว 85% ของบริษัทมาจากการขายแพ็กเกจบริการที่อาจจะยังไม่ต้องใช้งานไปอีกหลายปีเลยทีเดียว Memorial Park ของ Nirvana ซึ่งตั้งอยู่ที่ Semenyih นอกกรุง Kuala Lumpur ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว หออนุสรณ์สร้างขึ้นตามประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมจีน โดยตกแต่งด้วยทองคำอย่างละเอียดลออ สะท้อนความงดงามและสถานะอันเกรียงไกรเยี่ยงกษัตริย์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวส่วนตัวของคนดังและผู้นำทางการเมืองมากมายที่ฝังอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์อักษรจีนสลักหินแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 5 ล้านเหรียญ ภาพพระพุทธรูปฝังคริสตัลและเจ้าแม่กวนอิมปรากฏให้เห็นทุกหนทุกแห่ง ต้นไผ่ไหวเอน ทะเลสาบสะท้อนแสงระยิบระยับ ทางเดินปรับทิวทัศน์ล้อมรอบหลุมศพที่นอนอยู่ใต้หลังคารูปม้า เศรษฐีและคนดังมากมายในมาเลเซียจับจองพื้นที่ให้กับตัวเองและครอบครัวไว้ในที่แห่งนี้ วัยเด็กของ Kong เกิดในครอบครัวคนกรีดยางใน Kuala Lipis ทางตอนเหนือของมาเลเซีย ทุกๆ วันเวลาตี 2 เขาและน้องชายต้องออกไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรมยางพารา ก่อนจะไปโรงเรียน และกลับมาทำงานอีกก่อนเข้านอน ด้วยความทนทุกข์ สองพี่น้องในวัย 16 ปีจึงหันหลังอำลาหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ Kuala Lumpur ที่นั่น พวกเขาขายยาสีฟัน สบู่ และของใช้อื่นๆ แม้ว่าความต้องการสินค้าเหล่านี้จะมีอยู่มาก แต่บรรดาเจ้าหนี้มักจะจ่ายเงินช้า ทำให้สภาพคล่องแทบไม่มี ในปี 1985 Kong จึงเดินหน้าเปิดธุรกิจปล่อยสินเชื่อเสียเอง ในเวลาเดียวกัน พ่อตาของเขาเสียชีวิต เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้หาสถานที่ฝังศพ แต่ในตอนนั้นที่มาเลเซียไม่มีสุสานเอกชนเลย นอกจากนี้การเจรจากับช่างทำโลงศพและผู้จัดพิธีสวดยังยากเย็นสิ้นดี ขั้นตอนต่างๆ แสนจะวุ่นวายจนเขาบอกว่า “จำเป็นต้องมีการให้บริการที่ดีกว่านี้แน่ๆ ครับ เราหนีความตายไม่พ้น ใครก็ตามที่เกิดมาต่างก็ต้องตาย แปลว่าความต้องการบริการนี้ย่อมไม่สิ้นสุด” ในขณะนั้นมาเลเซียเจอพิษเศรษฐกิจถดถอยเข้าพอดีในปี 1987 สภาพคล่องเริ่มหดหาย ธุรกิจสินเชื่อของเขาพังไม่เป็นท่า เขาต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ครั้งนี้มีภรรยาวัยละอ่อนกับลูกน้อย 2 คนพ่วงมาด้วย Kong เองก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะทำกำไรจากธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อนอย่างบริการจัดงานศพได้ แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนเป็นพระและช่วยให้เขาหลุดพ้นจากอุปสรรคทางจิตวิทยานี้ ขณะเดียวกัน อาจารย์ด้านภูมิพยากรณ์คนหนึ่งได้ช่วยเขาค้นหาทำเลทรงหัวมังกรที่มีฮวงจุ้ยดี เขาเจรจาเอาชนะเจ้าของที่ดินที่กำลังลังเลอยู่ได้ โดยเสนอที่จะปันส่วนกำไรให้ จนทำให้เขาได้สิทธิ์ใช้ที่ดินขนาด 50 เอเคอร์มาทำหลุมฝังศพ แต่รัฐบาลท้องถิ่นกลับไม่อนุมัติคำขอ ตลอดระยะเวลา 2 ปีหลังจากนั้น Kong เดินทางไปยังกรมที่ดินเกือบทุกวัน และในปี 1990 คำขอก็ได้รับการอนุมัติ เขาตั้งชื่อบริษัทแห่งใหม่ว่า Nirvana ลูกค้าคนแรกของเขาคือเพื่อนที่มาซื้อที่ดินหลังจากที่ญาติคนหนึ่งเสียชีวิต ไม่นานข่าวคราวเกี่ยวกับ “บริษัทจัดการศพ” แห่งใหม่ก็กระจายออกไป ก่อนสิ้นปีนั้นเอง Nirvana กำลังทำกำไร แต่ธนาคารกลับไม่เชื่อว่า ที่ดินผืนนั้นจะขายต่อได้ราคา จึงไม่มีใครยอมปล่อยเงินกู้ให้ Kong จึงหันมาให้ความสำคัญกับการรับชำระเงินสดหักลบกับต้นทุนการครอบครองที่ดิน เมื่อได้กำไรก็จะนำไปลงทุนในที่ดินเพิ่มและปรับปรุงสุสานให้สวยงาม หลายคนที่เคยกังขาเริ่มเปลี่ยนใจ “เป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการสินเชื่อ นักลงทุน และธนาคารเริ่มมองแล้วว่า ธุรกิจของผมไม่ได้ทำอะไรผิด แม้ว่าจะแปลกๆ ก็เหอะ” ในที่สุด Kong ก็สามารถนำหุ้นเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกได้สำเร็จในปี 2000 จากนั้นบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2014 Kong นำ Nirvana เข้าจดทะเบียนอีกครั้งในตลาดฮ่องกงและระดมทุนได้ 246 ล้านเหรียญ ทำให้เขามีกำลังพอที่ขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เวียดนาม ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และจีน “ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ผมแค่ใฝ่ฝันถึงการให้บริการจัดงานศพที่สมบูรณ์แบบ หมดห่วงทั้งผู้ตายและครอบครัว ซึ่งกลายเป็นว่ามันทำเงินให้ผมได้มากกว่าที่เคยฝันไว้ นอกจากนี้ยังทำให้ผมรู้สึกมั่นใจด้วยว่า เมื่อถึงเวลานั้น บั้นปลายชีวิตของผมจะต้องจบลงอย่าง happy ending แน่ๆ” อันที่จริงแล้ว พื้นที่สำหรับทำหลุมฝังศพของตัวเขาเองนั่นตั้งอยู่บนยอดเนินที่ Memorial Park ใน Semenyih นั่นเอง
คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "ฉีกกฎธุรกิจ" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มกราคม 2560