Robin McIntosh และ Lisa McLaughlin จากอดีตผู้เข้ารับการบำบัดสู่ผู้ร่วมก่อตั้งสถานบำบัด Workit Health - Forbes Thailand

Robin McIntosh และ Lisa McLaughlin จากอดีตผู้เข้ารับการบำบัดสู่ผู้ร่วมก่อตั้งสถานบำบัด Workit Health

FORBES THAILAND / ADMIN
18 Nov 2021 | 03:15 PM
READ 2342

Robin McIntosh ในวัย 18 ปี พยายามต่อสู้กับปัญหาในการควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์และความผิดปกติในการรับประทานอาหาร ซึ่งหลังจากที่เธอได้เข้าไปอยู่ในสถานบำบัด เธอกลับถูกบังคับให้รับการรักษาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งที่มูลค่า 45,000 เหรียญสหรัฐฯ 

Workit Health “ฉันพยายามรักษาตัวเป็นเวลา 45 วันเพราะปัญหาด้านการกิน แต่พอออกมา ฉันก็ดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบินระหว่างทางกลับบ้านอยู่ดี” เธอเล่า  18 ปีต่อมา McIntosh ก่อตั้ง Workit Health บริษัทใน Ann Arbor รัฐ Michigan ที่ให้บริการโปรแกรมการรักษาแบบครอบคลุมอย่างที่เธอปรารถนา ร่วมกับ Lisa McLaughlin “เราไม่รู้จักใครเลยที่มีปัญหาเพียงอย่างเดียว” McIntosh วัย 36 ปีกล่าว Workit ให้บริการด้านสุขภาพเชิงพฤติกรรมเสมือนจริงมานานก่อนที่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 จะเกิดขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่แนวทางการรักษาแบบดั้งเดิม 12 ขั้นตอน แต่เป็นผสมผสานระหว่างการบำบัดแบบบุคคลและแบบกลุ่มทางออนไลน์เข้ากับการรักษาด้วยยาช่วย (เช่น บิวพรีนอร์ฟีนและนาลเทรกโซน) นอกจากนี้ Workit ยังเสนอสิ่งที่ซีอีโอร่วมเรียกว่า "การเรียนรู้ที่แม่นยำ" ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์หลายพันหลักสูตรที่บริษัทพัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและช่วยผู้ป่วยในการจัดการปัญหาต่างๆ ตั้งแต่โรคกลัวสังคมไปจนถึงความเครียดในความสัมพันธ์  โดยมีเป้าหมาย คือ การใช้แนวทางเสมือนจริงเพื่อเข้าถึงชาวอเมริกัน 9 ใน 10 คนที่มีปัญหาการใช้สารเสพติด ซึ่งไม่แสวงหาแนวทางการรักษาเนื่องจากมีปัญหาในการเข้าถึงหรือความสามารถในการจ่าย “ถ้าเปรียบเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง เราก็กำลังเข้าถึงผู้คนใต้น้ำที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน” McLaughlin กล่าว สำหรับวิธีการและโอกาสในการช่วยรักษาชาวอเมริกันกว่า 20 ล้านคนที่มีความผิดปกติในการใช้แอลกอฮอล์และฝิ่น (ไม่นับการพนัน การสูบบุหรี่ และสารเสพติดอื่นๆ ที่ Workit ช่วยเหลือ) ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำมากมาย โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Workit สามารถระดมทุน 118 ล้านเหรียญในรอบ Series C นำโดย Insight Partners, CVS Health Ventures, FirstMark Capital, BCBS Venture Fund และ 3L Capital ซึ่งส่งผลให้ Workit มีมูลค่าแตะ 500 ล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบัน ผู้คนมากกว่า 20,000 คนได้รับการรักษาผ่าน Workit ซึ่งครอบคลุมแผนประกันสุขภาพกว่า 230 แผน เพื่อช่วยแก้ปัญหาอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่ง นั่นคือ ความสามารถในการจ่าย อย่างไรก็ดี แม้ว่าบริษัทประกันสุขภาพจะครอบคลุมบริการด้านสุขภาพจิตในลักษณะเดียวกับการดูแลร่างกาย แต่การบำบัดรักษาผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง มักนำมาซึ่งอุปสรรคและความล่าช้าในการชำระเงินคืนการอนุมัติล่วงหน้า และระยะเวลาในการเข้าพัก  โดยบริษัทเผยว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีสำหรับผู้ป่วย Workit อยู่ที่ประมาณ 4,200 เหรียญ ซึ่งจากสมาชิกที่ใช้งานอยู่ประมาณ 6,000 ราย แสดงให้เห็นว่าสมาชิกมากกว่าร้อยละ 84 อยู่ในโปรแกรมนานกว่า 30 วัน ขณะที่อีกร้อยละ 41 ได้รับการรักษานานกว่า 1 ปี  มากกว่านั้น สมาชิกของ Workit ส่วนใหญ่ยังอยู่ในโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล Medicare หรือ Medicaid ในขณะที่ประมาณร้อยละ 30 มีประกันเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีทุนสนับสนุนที่ช่วยผู้ป่วยบางรายที่ไม่มีประกัน Nicole Shimer รองประธานของ Insight ที่เข้าร่วมบอร์ดคณะกรรมการของ Workit กล่าวว่า "น่าทึ่งจริงๆ ที่ผลิตภัณฑ์นี้สามารถประสบความสำเร็จได้" ทั้งในแง่ของผู้ป่วยและบริษัทประกันสุขภาพ ทั้งนี้ McIntosh พบกับ McLaughlin ในวันแรกที่เธอเดินทางมาถึงศูนย์ปลูกถ่าย Bay Area ในปี 2009 เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้ติดสุราในท้องถิ่น ซึ่ง ณ เวลานั้น เธอทำงานเป็นนักออกแบบและครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ขณะที่ McLaughlin ทำงานด้านเทคโนโลยีการศึกษา โดยทั้งสองได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ University of Michigan แต่คนละรุ่นกัน “เรามีความเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นเสมอมาตั้งแต่ความพยายามในการฟื้นฟูร่างกาย และความมุ่งมั่นในเส้นทางนั้น” McIntosh กล่าว “แล้วเราก็ยังพยายามที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน” แม้ว่าเส้นทางการฟื้นฟูร่างกายของพวกเธอมีรากฐานมาจากโปรแกรม 12 ขั้นตอน ทว่าทั้งคู่กลับตระหนักถึงความสำคัญของผลงานวิจัยที่เพิ่มขึ้นซึ่งสนับสนุนการใช้ยา เช่น นาลเทรกโซน และยาคลายความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้าที่เรียกว่า SSRIs ควบคู่ไปกับการสนับสนุนและการบำบัดจากเพื่อนฝูง ด้วยเหตุนี้ความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดอย่างหนึ่งระหว่าง Workit และการรักษาด้วยโปรแกรมแบบเดิมๆ คือ การดูแลในทุกภาพรวม ไม่ใช่แค่ปัญหาการเสพติด ตัวอย่างเช่น Workit มีแพทย์ที่คอยดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับยาได้ไม่เพียงแต่สำหรับความผิดปกติของการใช้สารเสพติด แต่ยังสามารถเขียนใบสั่งยาสำหรับปัญหาต่างๆ เช่น ตับอักเสบ ตับอักเสบที่อาจเกิดจากการดื่มมากเกินไป การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ไปจนถึงยาป้องกันเอชไอวี ที่เรียกว่า PREP แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ McIntosh และ McLaughlin ได้จากโปรแกรมแบบเดิมก็คือความจำเป็นในการมีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่ให้บริการ ซึ่งสำหรับประเด็นนี้ McLaughlin มองว่า “เราต้องทำให้มั่นใจว่าทุกตลาดที่เราอยู่มีตัวแทนปรากฎอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ" ซึ่งหมายถึงการจ้างแพทย์ พยาบาล และนักสังคมสงเคราะห์โดยตรงใน 10 รัฐที่บริษัทดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน  ขณะที่การระดมทุนในรอบล่าสุดมุ่งไปที่การขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์อย่างรวดเร็วด้วยแผน "เปิดหนึ่งรัฐต่อเดือนในปี 2022 จนกว่าเราจะครอบคลุมทั้งประเทศ" McIntosh กล่าว ทั้งคู่ยอมรับว่าไม่มีสายเลือดของ Silicon Valley หรือโรงเรียนธุรกิจในระดับ Ivy League อย่างผู้ก่อตั้งธุรกิจด้านสุขภาพดิจิทัลจำนวนมาก แต่พวกเขามีข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถสร้างเครือข่ายได้ นั่นคือ ประสบการณ์ส่วนตัวในการบำบัดและฟื้นฟูร่างกายจากการติดยาเสพติด “ถึงแม้จะใช้เวลานานกว่า แต่ฉันคิดว่าเงินจะหาเราเจอ” McIntosh กล่าว พร้อมเผยว่า Workit มาจากวลีที่คุ้นเคยว่า “มันใช้ได้ผลถ้าคุณทำงาน” ซึ่งเธออธิบายว่า “งานของเรา คือ ทำให้แน่ใจว่าเส้นทางใดก็ตามที่คุณกำลังมองหา คุณสามารถไปยังที่ที่คุณพยายามจะไปได้” แปลและเรียบเรียงจากบทความ These Two Founders In Recovery Raised $118 Million For Their Virtual Addiction Treatment Startup เผยแพร่บน Forbes.com โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค  อ่านเพิ่มเติม: Infinitus System ระดมทุน 30 ล้านเหรียญฯ พัฒนาระบบตอบรับอัตโนมัติของบริษัทประกันสุขภาพ