Fashionphile ชี้ ตลาด 'ลักชัวรีมือสอง' ราคาพุ่ง - Forbes Thailand

Fashionphile ชี้ ตลาด 'ลักชัวรีมือสอง' ราคาพุ่ง

FORBES THAILAND / ADMIN
13 Dec 2021 | 06:00 PM
READ 1468

Fashionphile แพลตฟอร์มสำหรับใครก็ตามที่ต้องการหาสินค้าที่ไม่มีขายแล้ว หรือแค่อยากประหยัดเงิน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลาด 'ลักชัวรีมือสอง' กำลังมาแรง ท่ามกลางสินค้าลักชัวรีที่ออกใหม่อยู่ตลอดเวลา

ในส่วนของตลาดลักชัวรี ดูเหมือนแบรนด์หัวแถวในเรื่องของราคาขายต่อจะยังคงเป็นเจ้าเก่าที่คุณคุ้นเคย โดยในรายงานล่าสุดที่ Fashionphile แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้า 'ลักชัวรีมือสอง' ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เป็นผู้รวบรวมระบุว่า สินค้าแนวหน้าเหล่านี้เป็นที่ต้องการมากกว่าเดิม เนื่องด้วยสถานการณ์หลากหลายอย่างที่ตลาดโลกต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมา ​Sarah Davis ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทีฟผู้ก่อตั้ง Fashionphile ในปี 1999 หลังจากที่เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้ใน eBay ได้แแชร์รายงานดังกล่าวกับ Forbes แบบพิเศษสุดๆ โดยได้จัดสรรดาต้าและระบุเหตุผลที่สินค้าเหล่านี้ยังคงมูลค่าไว้ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแบรนด์ในปี 2022 ด้วย
Sarah Davis (Photo Credits: 92009 Magazine)
2021 เป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Fashionphile โดยทางแพลตฟอร์มได้มีคลังสินค้าที่นับว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 1999 และด้วยคลังสินค้าขนาดมหึมานี้ทางแพลตฟอร์มทำรายได้ถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการขายต่อกระเป๋าและเครื่องประดับต่างๆ เลยทีเดียว ทั้งนี้ Davis ยังได้บอกกับเราว่าพวกเขายังคงนำเข้าสินค้าจากกลุ่มเล็กๆ "เราหาของมาเติมคลังสินค้าของเราจากตู้เสื้อผ้าของพวกคุณ เราทำได้ดีในช่วงโควิดไม่ใช่เพียงเพราะเราขายตรงสู่มือลูกค้า แต่เราก็รับตรงจากมือลูกค้าด้วย มีของที่มาจากสตูดิโอของเรา หรืองานขายส่งในคลังสินค้าเราไม่ถึงร้อยละ 10 เลย" เธอกล่าว โดยปัจจุบันมีแบรนด์หนึ่งที่เซ็นสัญญาว่าสินค้าที่เหลือจะถูกนำขายที่แพลตฟอร์มนี้ อย่างไรก็ตาม นั่นก็อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อแบรนด์ต่างๆ กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากลูกค้า และกฎหมายที่สั่งห้ามทำลายสินค้าทิ้ง ​"เกือบทุกแบรนด์ที่เรามีกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับการขายต่อ และกฎหมายใหม่มากมายที่ห้ามไม่ให้พวกเขาทำลายสินค้า เมื่อมีหลายต่อหลายแบรนด์มากขึ้นที่จริงจังต่อการหยุดทำลายสินค้า พวกเขาเองก็พายามที่จะดันราคาและอุปสงค์ให้เพิ่มขึ้นโดยเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะมีความสัมพันธ์แบบนั้นมากขึ้น" Davis กล่าวเสนอแนะ

ของเก่า ราคาใหม่

นี่น่าจะเป็นจริงยิ่งขึ้นเมื่อ Fashionphile เริ่มสังเกตเห็นอุปสงค์ของกระเป๋าลักชัวรี เครื่องประดับสุดหรู และนาฬิกาบางรุ่นที่ราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น กระเป๋า Hermès รุ่น Birkin ราคาพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 32 เมื่อเทียบราคาระหว่างปี 2018 และ 2021 ในขณะที่กระเป๋า Hermès รุ่น Kelly ราคาพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 47  แบรนด์ลักซัวรีส่งตรงจากกรุงปารีสนี้ก็ตระหนักถึงเทรนด์การขายต่อไม่ใช่น้อย และเริ่มที่จะเขียนต่อท้ายใบเสร็จไว้ว่าอย่างนำไปขายต่อเชียวล่ะ แต่หากพูดกันในทางกฎหมายล่ะก็ พวกเขาไม่สามารถสั่งลูกค้าได้ว่าพวกเขาทำไรกับกระเป๋าใบที่ซื้อไปแล้วนั่นได้หรือไม่ได้ กระเป๋าอื่นๆที่ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่มีตั้งแต่ Saint Laurent, Gucci จนถึง Louis Vuitton และทางกระเป๋า Chanel รุ่น Medium Flap ก็ราคาพุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 64 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว กำไล Cartier รุ่น LOVE และ David Yurman รุ่น Cable Classics รวมถึงสร้อยคอ Ball จาก Tiffany เป็นเครื่องประดับสามรุ่นที่มีผู้คนหมายตามากที่สุดเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยราคาขายของสร้อย Tiffany สามารถสร้างกำไรให้คุณได้ถึงร้อยละ 29 หากคุณขายมันในปีนี้ ทาง Bulgari และ Van Cleef & Arpels ก็ติดอันดับสูงอยู่เช่นกัน โดยราคาขายต่อของ Van Cleef & Arpels เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ในด้านของนาฬิกา Cartier Tank Franchise ยังคงครองอันดับ 1 อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 71 ในส่วนของอันดับที่ 2 นั้น นาฬิกาที่ติดโผกระโดดจากอันดับที่ 19 มาเลยทีเดียว โดยนาฬิกาเรือนนั้นก็คือ ​Cartier Panthere นั่นเอง นาฬิกาคลาสสิกอื่นๆ ที่ติดโผประกอบไปด้วย แบรนด์ขวัญใจหลายๆ คนอย่าง Rolex (พุ่งขึ้นร้อยละ 15), Omega (พุ่งขึ้นร้อยละ 28.5), Breitling, และ Panerai (พุ่งขึ้นร้อยละ 125)

New Normal, New Mindset

รายชื่อแบรนด์และสินค้าๆ ต่างๆ ที่กล่าวมาคงคุ้นหน้าคุ้นตาใครหลายคนเนื่องด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกมัน และราคาที่สูงเฉียดฟ้า แต่ Davis ให้อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น นั่นก็คือผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่ยอมหายไปสักที "Supply Exclusivity นี้เรื่องใหญ่เลย ผลิตปริมาณน้อยๆ ออเดอร์พิเศษ และบางทีก็มีจำกัดจำนวนสินค้าต่อคนด้วย ทั้งหมดตรงนี้ทำให้อุปสงค์พุ่งสูงขึ้นอีก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัญหาด้านซัพพลายเชนและการผลิตก็ส่งผลกระทบกับอุปสงค์เช่นกัน ไหนจะมีข้อกำจัดที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้เราไปช็อปยากขึ้นอีก แถมโลกอี-คอมเมิร์ซที่ยังไม่ได้ไปไกลมากในตอนนั้น ส่งผลให้ทั้งราคาและอุปสงค์สูงขึ้นตามๆ กัน" เธอกล่าว เธอยังได้เสริมอีกด้วยว่า "ด้วย cost-per-wear ที่ดี แบรนด์ต่างๆจึงกำลังโลกแล่นในตลาดแรกและตลาดรอง ผู้คนชอบใส่แบรนด์ที่มีศีลธรรมดีน่ะ" แบรนด์อื่นๆ ก็ได้ลิ้มรสความป็อปเมื่อมีดีไซเนอร์คนใหม่ก้าวเข้ามา เช่น เมื่อตอนที่ Daniel Lee เข้ามาเป็นดีไซเนอร์หลักแห่ง Bottega Veneta เป็นต้น ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของ Fashionphile คือคนที่อายุอยู่ในช่วง 25-34 ปี ในปี 2021 นี้ ทางแพลตฟอร์มก็พบว่ามีลูกค้า ​Gen Z ที่ช่วงอายุอยู่ที่ 18-24 มีการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2019 และ Gen Z เหล่านี้ยังนับเป็นร้อยละ 26 ของผู้ขายบนทั้งหมดบนแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย Davis กล่าวว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้ ตระหนักถึงความยั่งยืน การแบ่งกันใช้ และจับจ่ายอย่างไม่สิ้นเปลืองอีกด้วย ​"ก่อนหน้า นักช็อป Gen Z ที่มีหัวคิดยั่งยืนก็จะซื้อกระเป็าถือทำมาจากเข็มขัดนิรภัยราคาระดับบูติคอะไรประมาณนั้น แต่ทุกวันนี้ นักช็อปคนนั้นจะซื้อกระเป๋า Chanel ลายควิลท์ หากพวกเขาซื้อแบบคิดถึงอนาคตของโลก พวกเขารู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเบื่อ(และพวกเขาเบื่อมันแน่) พวกเขาสามารถขายมันได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับตอนที่ซื้อมา และซื้ออย่างอื่นมาใช้ต่อ"

บทต่อไปของ Fashionphile

การเติบโตของแพลตฟอร์มขายสินค้า 'ลักชัวรีมือสอง' นี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการระดมทุนได้ทุน 38.5 ล้านเหรียญฯ ในรอบ Series B เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 และการที่ Neiman Marcus Group เข้ามาลงทุน และเป็นผู้ถือหุ้นเล็กน้อยในบริษัทเมื่อปี 2019 ส่งผลให้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 จะมีการขยับขยายไปฝั่ง East Coast โดย Davis วางแผนเปิด Authentication Center ในย่าน Chelsea ที่มหานครนิวยอร์ก "ตึกสูง 60,000 ตารางฟุต และขนาดใหญ่กว่าสำนักงานใหญ่ที่ Carlsbad ถึง 2 เท่านี้จะดูการดำเนินงานในฝั่ง East Coast เราชอบแนวคิดที่จะนำการปฏิบัติการกับเข้าสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง คล้ายๆ กับการผลิตสายแฟชั่นในย่าน Garment District เมื่อสมัยก่อน" เธอกล่าว พื้นที่โชว์รูมจะเป็นที่สำหรับทุกคน เหล่านักช็อปสามารถเอาของตัวเองมาขายได้ รับเงินตรงนั้น และยังสามารถช็อปคลังสินค้าของฝั่ง East Coast จากตู้เชฟของเราอีกด้วย" เธออธิบายต่อ โดยตู้เชฟที่ว่านั้นคือที่เก็บของแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ 'สวรรค์ของกระเป๋า' นั่นเอง นักซื้อและนักขายทั้งหลายสามารถเข้าถึง Authentication Station แอบส่องตู้เชฟ และสอดส่องช่วงสุดท้ายของการทำการตลาด ซึ่งก็คือชิปปิ้งนั่นเอง! Davis อวดเราว่าลูกค้า ​Fashionphile โพสต์วิดีโอแกะกล่องกันก่อนที่จะเป็นกระแสซะอีก
Photo Credits: Fashionphile
เธอทำให้แพลตฟอร์มของตัวเองที่ขายเพียงกระเป๋าและเครื่องประดับลักชัวรี เครื่องประดับสุดหรู จนไปถึงนาฬิกานี้แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยจ่ายผู้ขายโดยตรง แถมยังจ่ายหนักอีกต่างหาก ซึ่งทำได้ด้วยการระบุและตีราคาสินค้า ณ ตรงจุดซื้อเลย เป็นการตัดความยุ่งยากในการขนส่ง ที่บางที กว่าจะมาถึงราคาก็อาจจะตกไปแล้ว ทาง Fashionphile ใช้งบไปกับเทคโนโลยีระดับสูงในการพิสูจน์สินค้าอย่างมาก โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลได้ ช่วยในการตีราคา ระบุสินค้า และตรวจสินค้าลีกชัวรีมากมาย ระบนี้ช่วยยกระดับฐานข้อมูลสินค้านับพัน และรูปสินค้าเหล่านั้น รวมถึงสร้างอัลกอริทึมสุดล้ำ และโมเดลเรียนรู้ที่ช่วยให้ตรวจสอบสินค้าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย Davis พลิกโฉมธุรกิจบน eBay เป็นบริษัทอย่างเต็มตัวได้เมื่อค้นพบว่ากระเป๋าและเครื่องประดับลักชัวรีขายได้เร็วกว่า และคงมูลค่าในตลาดรองได้ดีกว่าสินค้าอื่นๆ อีก 22 กว่าปีต่อมา แพลตฟอร์มแห่งนี้ก็สามารถโอ้อวดอัตราการโตแบบ YOY ร้อยละ 100 ได้สำเร็จ เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อตอนเริ่มต้นได้ถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Chanel, Hermes, Cartier And Tiffany Prove Resale Value Again Via Fashionphile Report เผยแพร่บน ​Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: Cardi B ขึ้นแท่น Creative Director ประจำธุรกิจน้องใหม่จาก Playboy
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine