รอดได้และรุ่งด้วยกับกิจการขนาดเล็กที่โดดเด่นในสหรัฐฯ ตอนที่ 1 - Forbes Thailand

รอดได้และรุ่งด้วยกับกิจการขนาดเล็กที่โดดเด่นในสหรัฐฯ ตอนที่ 1

FORBES THAILAND / ADMIN
24 Feb 2021 | 07:12 AM
READ 3174

แม้จะอยู่ในช่วงเวลาท้าทายที่สุด แต่ผู้ประกอบการสุดเก่งยังหาทางอยู่ได้อย่างยอดเยี่ยมบริษัทขนาดเล็ก 25 แห่งในบทความนี้ ทั้งหมดมียอดขายไม่ถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 และมีพนักงานไม่ถึง 200 คน แต่พวกเขาประสบความสำเร็จในการพาบริษัทฝ่าช่วงปีอันปั่นป่วนนี้มาได้แม้บางคนจะยังต้องทำใจกับความสูญเสียส่วนตัวเนื่องจากโควิด-19

เส้นทางของพวกเขาแตกต่างกัน บางคนผลิตสิ่งที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างซอฟต์แวร์ช่วยปรับปรุงการทำงานของโรงพยาบาล หรือหุ่นยนต์ทำความสะอาดโรงเรียน บางคนปรับแนวทางให้เข้ากับช่วงเกิดโรคระบาด เช่น ธุรกิจโรงแรมแบบเน้นผู้เข้าพักระยะยาวที่เปลี่ยนมาทำห้องพักสำหรับนักเรียนต่างชาติซึ่งต้องย้ายที่อยู่และแพทย์ที่ต้องเดินทาง หรือผู้ผลิตรถเข็นอาหารบุฟเฟต์ที่เริ่มผลิตฉากกั้น plexiglass บริษัทเล็กที่โดดเด่นเหล่านี้แสดงถึงความแข็งแกร่ง ความสามารถในการปรับตัว และความหลากหลายของผู้ประกอบการในอเมริกา และช่วยให้เรามีหวังกับอนาคตด้านเศรษฐกิจของประเทศนี้   สำหรับตอนที่ 1 นี้ กิจการขนาดเล็กที่โดดเด่นในสหรัฐฯ ที่ทั้งรอดได้และรุ่งด้วย จำนวน 13 แห่งได้แก่ (ส่วนอีก 12 แห่งติดตามได้ในตอนที่ 2)   African Ancestry สำนักงานใหญ่: กรุง Washington, D.C. ผู้ก่อตั้ง: Rick Kittles, Gina Paige (ซีอีโอ) พนักงาน: 13 คน ตลาดบริการตรวจสอบพันธุกรรมด้วยตัวเองที่บ้านคึกคักมากขึ้นในช่วงโรคระบาด จนช่วยให้ African Ancestry รายได้พุ่ง “นี่คือยุครุ่งเรืองและภาคภูมิใจในความเป็นคนผิวดำ ซึ่งเป็นผลจากความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคนผิวดำ” Paige วัย 53 ปีกล่าวฐานข้อมูลของบริษัทอายุ 17 ปีแห่งนี้มีตัวอย่างดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองแอฟริกันประมาณ 33,000 ตัวอย่าง และมีผู้เข้าใช้งานประมาณ 1 ล้านคน รวมถึง Oprah Winfrey (ซึ่งมีดีเอ็นเอของชาว Kpelle ในไลบีเรีย) และ Chadwick Boseman ผู้ล่วงลับ (ซึ่งค้นพบว่าเขามีสายเลือดชาว Limba แห่งเซียร์ราลีโอน) รายได้ของบริษัทพุ่งขึ้น 2 ใน 3 ตั้งแต่เดือนมีนาคม และน่าจะถึง 8 ล้านเหรียญในปี 2020     AMP Robotics สำนักงานใหญ่: เมือง Louisville รัฐ Colorado ผู้ก่อตั้ง: Matanya Horowitz (ซีอีโอ) พนักงาน: 70 คน เมื่อ Amazon และผู้ผลิตรายอื่นๆ ต้องส่งของเดือนละหลายร้อยล้านกล่อง และพนักงานก็กังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น โรงงานรีไซเคิลส่วนหนึ่งจึงหันมาเป็นลูกค้าของ AMP Robotics หุ่นยนต์ที่ทำงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทนี้ใช้สายตาคอมพิวเตอร์มองหากระดาษ พลาสติก และกระดาษลังบนสายพาน แล้วคัดแยกด้วยมือจับสุญญากาศรายได้ของบริษัทซึ่งเพิ่มขึ้นไตรมาสละ 50% ในปี 2020 น่าจะขึ้นไปถึงประมาณ 20 ล้านเหรียญได้ทั้งปี “ก่อนจะมีเทคโนโลยีของเรา การทำงานแบบนี้มีวิธีเดียวคือ ให้ใครสักคนถือคลิปบอร์ดแล้วพยายามมองตามวัสดุที่ไหลมาเป็นสาย” Horowitz วัย 32 ปีกล่าว     Avidbots สำนักงานใหญ่: เมือง Kitchener รัฐ Ontario ผู้ก่อตั้ง: Pablo Molina, Faizan Sheikh (ซีอีโอ) พนักงาน: 170 คน Molina และ Sheikh ซึ่งจบจาก University of Waterloo ก่อตั้ง Avidbots เพื่อผลิตหุ่นยนต์ขัดพื้นหุ่นยนต์ Neo ของบริษัทนี้ทำงานอยู่ในสนามบิน Charles de Gaulle Airport ที่กรุง Paris และห้างสรรพสินค้า Eaton Centre ในเมือง Toronto รวมทั้งสถานที่อื่นๆ มาตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด และปัจจุบันรายได้ของบริษัทก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 10 ล้านเหรียญได้เมื่อขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มลูกค้าอย่างบริษัทขนส่ง DHL และเขตการศึกษาต่างๆ หลังจากโรงเรียนเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งเขตการศึกษาพื้นที่ตอนใต้ของรัฐ New Jersey ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัท สินค้าชิ้นต่อไปคือ อุปกรณ์ใหม่สำหรับฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้วหุ่นยนต์รุ่นล่าสุดก็จะขัดพื้นผิวที่เป็นจุดสัมผัสอื่นๆ นอกเหนือจากพื้นผิวอย่างโต๊ะหรือที่จับประตูได้ด้วย “เราแก้โจทย์นี้มาตั้งหลายปี แล้วจู่ๆ ทั่วโลกก็หันมาสนใจมากขึ้น” Sheikh วัย 32 ปีกล่าว     Bala สำนักงานใหญ่: เมือง Los Angeles ผู้ก่อตั้ง: Natalie Holloway (ซีอีโอ), Max Kislevitz พนักงาน: 5 คน Holloway วัย 32 ปี และ Kislevitz วัย 34 ปี คู่สามีภรรยาผู้ก่อตั้ง เริ่มขายสายรัดข้อมือถ่วงน้ำหนักสำหรับฟิตเนส Bala Bangles สีชมพู ฟ้า และดำ ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งสายรัดข้อมือรุ่นมาตรฐานหนัก 1 ปอนด์ (ราคาปลีก 49 เหรียญ) ใช้สวมได้ทั้งข้อมือและข้อเท้า ต่อมาไม่นานพวกเขาก็ผลิตดัมบ์เบลและเคตเทิลเบลที่เป็นดีไซน์ของบริษัทออกมาเพิ่ม โดยตั้งชื่อว่า Bala Bars และ Power Ring เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 พวกเขาได้เงินลงทุน 900,000 เหรียญ จาก Mark Cuban และ Maria Sharapova ในรายการ Shark Tank หลังจากนั้น โคโรนาไวรัสก็ยิ่งช่วยส่งให้ยอดขายพุ่งลิ่วเพราะลูกค้าซึ่งติดอยู่ในบ้านมองหาวิธีออกกำลังกายแบบใหม่ๆ จนถึงในปี 2020 บริษัทนี้ขายสายรัดข้อมือไปแล้ว 500,000 ชิ้น และคาดว่าจะมีรายได้ถึง 19 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้น 9 เท่าจาก 2 ล้านเหรียญในปี 2019     Everblock Systems สำนักงานใหญ่: เมือง New York City ผู้ก่อตั้ง: Arnon Rosan (ซีอีโอ) พนักงาน: 14 คน EverBlock Systems เริ่มต้นจากการผลิตบล็อกตัวต่อชิ้นยักษ์และแผ่นกั้นที่ประกอบเข้า ล็อกเป็นผนังและพื้นสำหรับสำนักงาน ห้องเรียน และสถานที่ทำงานของกองทัพในช่วงโควิดระบาด รัฐและเมืองต่างๆ ตั้งแต่รัฐ New Jersey ไปจนถึงเมือง New Orleans ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สร้างโรงพยาบาลชั่วคราว และปัจจุบันบริษัทอายุ 5 ปี แห่งนี้ก็ร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ในรัฐ New York เปลี่ยนโรงยิมและหอประชุมให้เป็นห้องเรียนสำหรับการเรียนการสอนแบบเว้นระยะห่างทางสังคม แม้ EverBlock จะเสียลูกค้าเก่าจากช่วงก่อนเกิดโรคระบาดไปเป็นส่วนใหญ่ แต่บริษัทก็คาดว่ารายได้ปี 2020 จะเกิน 20 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าปี 2019 ถึง 3 เท่า Rosan วัย 51 ปีมีประสบการณ์ด้านงานฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ โดยเขาช่วยทำพื้นถอดประกอบได้สำหรับเต็นท์ของกองกำลังพิทักษ์ชาติ และสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (FEMA) หลังจากเฮอริเคน Katrina และ Sandy พัดถล่มสหรัฐฯ     Hunt A Killer สำนักงานใหญ่: เมือง Baltimore ผู้ก่อตั้ง: Ryan Hogan (ซีอีโอ), Derrick Smith พนักงาน: 50 คน สหายวัยเด็ก Hogan และ Smith ทำกำไรจากความหลงใหลในเรื่องราวอาชญากรรมของจริงและความเบื่อหน่ายในช่วงกักตัวอยู่บ้านด้วย Hunt A Killer เกมสืบสวนฆาตกรรมปริศนาของพวกเขาซึ่งคิดค่าสมาชิกเดือนละ 25-30 เหรียญ ในกล่องเกมจะมีรายงานของตำรวจ ข่าวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ และบันทึกการเงิน ซึ่งมักได้แรงบันดาลใจมาจากคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงบริษัทอายุ 4 ปีแห่งนี้คาดว่าปี 2020 จะมีรายได้ 50 ล้านเหรียญ หรือเกือบเท่าตัวจาก 27 ล้านเหรียญในปี 2019 ซึ่งมีสมาชิกถึง 100,000 คน “ไม่ว่าผู้คนจะอยากหนีจากเรื่องการเมืองหรือโรคระบาด Hunt A Killer ก็ช่วยให้สมองได้มีเรื่องอื่นคิดบ้าง” Hogan วัย 36 ปีกล่าว “ถึงจะเป็นการไขปริศนาฆาตกรรมสยองก็เถอะ”     Mint House สำนักงานใหญ่: เมือง New York City ผู้ก่อตั้ง: Will Lucas พนักงาน: 66 คน เมื่อการปิดเมืองเนื่องจากไวรัสกระหน่ำให้อุตสาหกรรมการต้อนรับนักท่องเที่ยวต้องเจ็บหนัก Mint House ซึ่งให้บริการห้องพักระยะสั้นราคาแพงสำหรับนักธุรกิจที่เดินทางจึงตกที่นั่งลำบาก บริษัทอายุ 3 ปีแห่งนี้ซึ่งมีรายได้ 10.5 ล้านเหรียญในปี 2019 จึงปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนมาให้บริการที่พักแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาด ซึ่งรวมถึงนักศึกษาและแพทย์ที่ต้องเดินทางไปทำงานในจุดโควิด-19 ระบาด การเปลี่ยนทิศทางนี้ไม่เพียงช่วยให้ Mint House มีแขกเข้าพัก แต่บริษัทยังเพิ่มจำนวนห้องขึ้นอีก 40% ในช่วงไตรมาส 3 ในปีที่ผ่านมาอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทมีห้องพักระยะสั้น 400 ห้องใน 10 เมืองทั่วสหรัฐฯ และจำนวนผู้เข้าพักก็กระเตื้องขึ้นมาเป็นกว่า 80% จากแค่ 43% ในเดือนมีนาคมในปีที่ผ่านมา     Miyoko’s Creamery สำนักงานใหญ่: เมือง Petaluma, California ผู้ก่อตั้ง: Miyoko Schinner พนักงาน: 170 คน Schinner ผู้ทำชีสและเนยแบบมังสวิรัติมา 30 ปี เริ่มต้นจากการสอนทำอาหารและเป็นพิธีกรรายการทำอาหาร และหลังจากเธอโปรโมตหนังสือทำอาหารเล่มที่ 4 ซึ่งสอนทำชีสจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เธอจึงเริ่มก่อตั้ง Miyoko’s Creamery ในปี 2014 ปัจจุบันแบรนด์ของเธอขายเนย ครีมชีส และมอสซาเรลลาสูตรทางเลือก พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากลูกนัต ข้าวโอ๊ต และถั่วเมล็ดแห้ง โดยไม่ใช้นมเป็นส่วนผสมในร้านค้า 20,000 แห่ง รวมถึง Walmart และ Target เมื่อนักช็อปหันมาหาอาหารที่ทำจากพืชมากขึ้น รายได้โดยประมาณของบริษัทในช่วง 12 เดือนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา จึงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นกว่า 30 ล้านเหรียญ ชาวญี่ปุ่นผู้ย้ายมาอยู่อเมริกาคนนี้ทำบ้านเป็นเขตคุ้มครองสัตว์อยู่ใน Marin County ทางตะวันตกของ California ตอนเหนือ ที่ดินผืนนี้มีสัตว์เดินเล็มหญ้าในทุ่งประมาณ 70 ตัว ทั้งวัว ลา และสัตว์อื่นๆ     Nugget สำนักงานใหญ่: เมือง Butner รัฐ North Carolina ผู้ก่อตั้ง: David Baron (ซีอีโอ), Ryan Cocca, Hannah Fussell พนักงาน: 80 คน เพื่อนสนิท 3 คนจาก University of North Carolina ก่อตั้ง Nugget เมื่อปี 2015 เพื่อผลิตที่นอนแบบญี่ปุ่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่แค่ปีเดียวสตาร์ทอัพแห่งนี้ก็ทิ้งที่นอนสารพัดประโยชน์แล้วหันไปทำเฟอร์นิเจอร์สนุกๆ สำหรับเด็ก ซึ่งถอดชิ้นส่วนมาทำเป็นทางลาด เบาะกันกระแทกและขั้นบันไดได้แทน ซึ่งบริษัทก็พิสูจน์แล้วว่า ทิศทางใหม่นี้ยิ่งทำเงินมากขึ้นอีกในช่วงโควิดระบาด เพราะพ่อแม่อยากให้ลูกได้เล่นสนุกเมื่ออยู่บ้าน “มันเหมือนเป็นการเล่นสร้างป้อมที่อัพเกรดขึ้น” Cocca ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Nugget กล่าว คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในปี 2020 เป็น 50 ล้านเหรียญ จาก 17 ล้านเหรียญในปี 2019     Outdoorsy สำนักงานใหญ่: เมือง Austin รัฐ Texas ผู้ก่อตั้ง: Jeff Cavins (ซีอีโอ), Jen Young พนักงาน: 125 คน Outdoorsy บริษัทตัวกลางจัดหารถบ้านให้กับนักเดินทางแนวพักแรมกลางแจ้ง ได้เริ่มรับรู้ถึงผลกระทบจากโควิดระบาดเหมือนกับหลายบริษัทด้านการเดินทางเจอ นั่นคือ มองดูลูกค้ายกเลิกการจองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “วันที่ 1 เมษายน เรามียอดจองต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมามันคือฝันร้ายที่สุดของเรา” Young ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดวัย 47 ปีกล่าว เธอและ Cavins คู่ชีวิตวัย 59 ปี ซึ่งก่อตั้ง Outdoorsy เมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อเชื่อมโยงคนที่อยากพักแรมกลางแจ้งกับเจ้าของรถบ้าน 17 ล้านคันในอเมริกาเหนือ (ซึ่งแต่ละปีก็ไม่ค่อยได้ใช้งาน) จึงเปลี่ยนมาเน้นกลยุทธ์ทำให้เว็บไซต์ปรากฏเป็นชื่อแรกๆ ในโปรแกรมค้นหา เมื่อชาวอเมริกันซึ่งเริ่มคลั่งเพราะต้องอยู่แต่ในบ้านตระหนักว่า รถบ้านช่วยแก้โจทย์ “การท่องเที่ยวแบบเว้นระยะห่างทางสังคม” ได้ บวกกับชื่อ Outdoorsy ปรากฏขึ้นมาเป็นชื่อแรก เมื่อค้นหาด้วย Google พอดี จึงทำให้ฤดูร้อนซึ่งเป็นฤดูของรถบ้านกลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของ Outdoorsy เพราะผู้เช่าขอเช่ารถนานกว่าเดิม แต่จองในระยะกระชั้นขึ้น ผลคือทำให้รายได้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปี 2020 ยอดขายจะถึง 62 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับ 38 ล้านเหรียญในปีก่อนหน้า     Qventus สำนักงานใหญ่: เมือง Mountain View รัฐ California ผู้ก่อตั้ง: Ian Christopher, Mudit Garg (ซีอีโอ), Brent Newhouse พนักงาน: 80 คน เมื่อปี 2011 Garg วัย 36 ปี อดีตที่ปรึกษาจาก McKinsey ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้าน AI ชื่อ Qventus เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดค่าใช้จ่ายให้โรงพยาบาล โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเรียลไทม์ของผู้ป่วยและเข้าแก้ไขปัญหาคอขวด และในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 บริษัทก็เพิ่มระบบควบคุมภารกิจเกี่ยวกับโควิด-19 โดยช่วยอัพเดตข้อมูลผู้ป่วยและทรัพยากรต่างๆ พร้อมทั้งให้บริการฟรีเพื่อช่วยวางแผนรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยอ้างอิงโมเดลระบาดวิทยา 450 แบบ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ของเมือง รัฐ และรัฐบาลกลาง ในการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งรวมถึงเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลต่างๆ เมื่อโรงพยาบาลต้องเตรียมรับมือการระบาดระลอก 2 ที่อาจเกิดขึ้น และกระเสือกกระสนกับอัตรากำไรที่ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ Qventus ขายซอฟต์แวร์ให้ลูกค้ารายใหม่ได้อีก 40 แห่ง และคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2019 เป็น 18 ล้านเหรียญในปี 2020     Rhizome สำนักงานใหญ่: เมือง New York City ผู้ก่อตั้ง: Benjamin Bernet (ซีอีโอร่วม), Justin Guilbert (ซีอีโอร่วม), Charles Kim พนักงาน: 25 คน เมื่อผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภค 2 คนมาร่วมกันก่อตั้งบริษัทในปี 2018 ผลลัพธ์คือ Bravo Sierra (ในภาษาทหารหมายถึง ไร้สาระ) พวกเขามีไอเดียผลิตของใช้อย่างครีมโกนหนวด ลิปบาล์ม และมอยส์เจอไรเซอร์ทาหน้าที่ใช้งานได้ในสภาวะแวดล้อมสุดโต่ง โดยพัฒนาร่วมกับกองทัพและขายให้ทหารที่ประจำการอยู่และปลดประจำการแล้ว และด้วยความช่วยเหลือจากอดีตทหารหน่วยจู่โจมของกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคนที่ 3 บริษัทจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เมื่อฤดูร้อนปี 2019 และคาดว่าจะมีรายได้ปีแรกทั้งปี 6 ล้านเหรียญ แถมในระหว่างที่ทำบริษัทนี้เหล่าผู้ก่อตั้ง Rhizome ยังค้นพบด้วยว่า ซอฟต์แวร์ของบริษัทและการทดสอบกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งพวกเขาคิดขึ้นมาสำหรับ Bravo Sierra ก็น่าจะช่วยให้รัฐบาลและบริษัทอื่นๆ ลดต้นทุนการวิจัยและพัฒนาลงได้ด้วย     Yellowbrick สำนักงานใหญ่: เมือง New York City ผู้ก่อตั้ง: Ankit Dhir, Rob Kingyens (ซีอีโอ) พนักงาน: 17 คน Yellowbrick เสนอคลาสออนไลน์แนะนำอาชีพใน 10 สายงาน ซึ่งรวมถึงศิลปะการแสดง แฟชั่น และเกมคลาสเหล่านี้ (1,000 เหรียญต่อหลักสูตร) ประกอบด้วยวิดีโอสั้นๆ รวม 10 ชั่วโมง และมีแบบฝึกหัดให้ผู้เรียนฝึกฝนเองตามความสะดวก แบบฝึกหัดเหล่านี้คิดขึ้นโดยผู้มีประสบการณ์จากแต่ละวงการและอาจารย์จากสถานศึกษาที่เป็นพันธมิตรรวมถึง NYU โดย Kingyens วัย 44 ปีกล่าวว่า เมื่อมีการล็อกดาวน์ทั่วโลก Yellowbrick ก็ถูกบังคับให้คิดวิธีการถ่ายทำวิดีโอแบบใหม่ด้วย แต่ความต้องการของตลาดน่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่า   บรรณาธิการ: Amy Feldman  เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง  ภาพประกอบ: Israel G . Vargas ผู้สื่อข่าว: Susan Adams, Elisabeth Brier, Kenrick Cai, Caroline Howard, Katie Jennings, Alex Knapp, Maggie McGrath, Chloe Sorvino และ Giacomo Tognini   อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine