Elon Musk มหาเศรษฐีพันล้านผู้มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และ Twitter แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 (หรือ 1 กันนะ) เดินหน้าปะทะยื้อแย่งหุ้นและอำนาจบริหาร
ซื้อเพิ่ม ขายทิ้ง หรือป่วนต่อไป ก้าวต่อไปของ Elon Musk ในสนามปะทะกับ Twitter เป็นคำถามในใจชาว Silicon Valley และ Wall Street ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา“นี่เป็นกระบวนการประเภทที่จะมาดิสรัปต์สุดๆ และยืดเยื้อไปเรื่อยๆ อีกด้วย” อดีตผู้บริหารระดับสูงแห่ง Twitter กล่าว โดยแอบมองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ อย่างปิติ เขาอาจจะทำอะไรก็ได้ใน 3 ตัวเลือกข้างบนนั้น หรืออาจจะผสมผสานกันไป หรืออาจจะทำบางอย่างที่คาดไม่ถึงไปเลยก็ได้
เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางบอร์ดบริหารของ Twitter ลงมติอนุมัติใช้กลยุทธ์ยาพิษ (poison pill strategy) กลยุทธ์ที่บริษัทเอกชนต่างๆ ใช้มาตั้งแต่ช่วงสมัย 1980s เพื่อปกป้องตัวเองจากนักลงทุนหวังฮุบอย่าง Musk โดย Musk เสนอซื้อหุ้นของทาง Twitter ในราคาหุ้นละ 54.20 เหรียญสหรัฐฯ รวมเป็นมูลค่าราวๆ 4.3 หมื่นล้านเหรียญ และการอนุมัติใช้กลยุทธ์ยาพิษนี้ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าข้อเสนอนั้นมันดีไม่มากพอด้วยซ้ำ
นั่นราคาสูงกว่าหุ้น Twitter ที่ Musk ถืออยู่ราวๆ ร้อยละ 38 แต่ก็ราคาต่ำกว่าตลาดของหุ้น Twitter เมื่อเดือนกรกฎาคมถึง 1 ใน 4
จากบทสนทนากับเหล่านักวิเคราะห์ คนในจาก Twitter และผู้ที่เคยทำงาน ณ ที่นั่นมาก่อน เราได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะการันตีเมื่อเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ Musk ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยแหย่ว่าจะโอนบริษัทตัวเองให้เป็นบริษัทเอกชน และประมูลซื้อหุ้นโดยใช้กัญชาเป็นตัวเลขอ้างอิง
Elon Musk เดินหน้าเข้าซื้อหุ้น Twitter เพิ่ม
ในงานสัมมนา TED เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น Musk เผยว่าเขามี ‘Plan B’ และยืนกรานว่าข้อเสนอเข้าซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 54.20 เหรียญเป็นข้อเสนอ “สุดท้ายที่ดีที่สุด” ของเขา
แน่นอนว่า บุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลกอย่าง Musk สามารถกดราคาลงมากกว่านี้ได้อยู่แล้ว เขาอาจจะต้องขายหุ้น Tesla หรือกู้เงินออกมาสักหน่อยเพื่อที่จะทำเช่นนั้น อีกทั้ง เขาก็ได้เคยกล่าวไว้ว่าเขาได้พา Morgan Stanley มาเป็นผู้ให้คำปรึกษาของเขาอีกด้วย ข้อเสนอของเขานั้นก็ได้รับการสนับสนุนไม่ใช่น้อยบน Twitter ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชายผู้มีชีวิตอยู่บน Twitter และอิ่มเอมไปกับความสนใจจากผู้ติดตามจำนวน 81 ล้านคนของเขา
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ Wall Street จำนวนมากที่ติดตามหุ้น Twitter ก็มองว่านี่เป็นราคาที่ดีเลยทีเดียว “เรารู้ว่าข้อเสนอแบบจะเอาหรือไม่เอานี้ ไม่ใช่วิธีการเจรจาต่อรองที่ผู้ถือหุ้นหรือบอร์ดบริหารอยากจะเจรจาด้วยเท่าไร แต่เราอยากจะให้ทั้งสองรับขอเสนอนี้ซะ” Michael Nathanson นักวิเคราะห์และหนึ่งในผู้สังเกตการณ์ของดิจิทัลมีเดียที่หลักแหลมกล่าว
Elon Musk ยอมแพ้
ปรากฏว่า ที่ Musk กล่าวว่านี่เป็นข้อเสนอ “สุดท้ายที่ดีที่สุด” เขาไม่ได้พูดเล่นๆ
นี่อาจเป็นศิลปะการแสดง/การป่วนในโลกดิจิทัลราคาแพง เขาได้สนุก หุ้นก็ขึ้น และหากเขาค่อยๆ ขายอย่างระมัดระวังล่ะก็ เขาอาจจะเดินออกมาจากสงครามครั้งนี้ด้วยกำไรถึง 500 ล้านเหรียญหรือมากกว่านั้นอีก ไม่แย่เลยทีเดียว
Elon Musk สร้างสมาคม
Musk อาจจะจับมือกับคนรวยอีกสักคนสองคน หรือกับนักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทไพรเวท อิควิตี้
การแบ่งบันภาระด้านการเงินเช่นนี้จะช่วยลดจำนวนหุ้น Tesla ที่เขาอาจต้องขาย หรือจำนวนเงินที่เขาต้องกู้ออกมาได้ นอกจากนี้ นี่ยังช่วยโต้กลับข้อวิจารณ์จาก Fred Wilson หนึ่งในผู้ลงทุนใน Twitter ยุคแรกๆ เกี่ยวกับการเข้าประมูลของ Musk ที่ว่า “ไม่ควรมีใครเพียงคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ Twitter” ซึ่งเขาได้เผยแพร่บน Twitter เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยเป็นการแย้งว่าแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในที่ที่มีบทสนาทต่างๆ หลากหลายมากที่สุดเช่นนี้ ไม่ควรถูกควบคุมโดยอำนาจใดอำนาจหนึ่ง
Elon Musk มีคู่แข่ง แต่ Twitter ก็ยังไม่ยอมขาย
เป็นไปได้ว่าข้อเสนอจาก Musk ไม่ใช่ข้อเสนอตัวร้ายสุดท้ายที่ทาง Twitter จะเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ โดยทาง New York Post เผยว่า Thoma Bravo บริษัทไพรเวท อิควิตี้ของมหาเศรษฐี Orlando Bravo เองก็กำลังเล็งๆ ยื่นข้อเสนอเช่นกัน
Twitter ตกเป็นเป้ามาสักพักแล้ว และโดยเฉพาะเป้าของ Elliott Management บริษัทลงทุนแนว Activist ที่เข้ามากุมหุ้นเมื่อปี 2019 ทางบริษัทเองก็มีประวัติศาสตร์สุดขมขื่นอันยาวนานในการตัดสินใจว่าจะขายบริษัทดีหรือไม่อันเป็นผลมาจากการมีจุดยืนในวัฒนธรรมที่ไปได้สสวยกว่าตัวเลขรายได้
Twitter ตามหาอัศวินขี่ม้าขาว
กลยุทธ์ยาพิษเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้เป็นเกราะป้องกันนักลงทุนที่เข้ามาโจมตี แต่อีกอย่างที่อาจเกิดขึ้นคือ บริษัทที่ถูกล้อมไว้ด้วยศัตรูพบกับผู้เข้าซื้อที่พวกเขาชื่นชอบมากกว่า ผู้ที่จะคงสภาพการบริหารและวิถีปัจจุบันของบริษัทไว้ โดยนี่อาจเกิดขึ้นหาก Musk ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ และกดดัน Twitter อยู่เรื่อยๆ และก็อาจจะเกิดขึ้นได้หาก Musk โบกมือลาและมีผู้ซื้อมือไวอีกคนโผล่เข้ามา
ดูเหมือนว่าทาง Twitter คิดว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ โดยหลังจากว่าจ้าง Goldman Sachs มาเป็นที่ปรึกษา ก็มีรายงานว่าทาง Twitter ได้ว่าจ้าง JP Morgan มาเป็นธนาคารที่สอง และคุณคงไม่หานายธนาคารมาเพิ่มหากคุณไม่คิดว่าคุณต้องมีนายธนาคารเพิ่มหรอก
เลียนแบบ Trump
เขาเหนื่อยที่จะมาเล่นกับทาง Twitter แล้ว แต่ก็ยังคงมุ่งที่จะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์แห่งเสรีภาพในการพูด (เขาแย้งว่า Twitter และแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอื่นๆ กีดกันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ได้รับข้อวิจารณ์ที่คล้ายเคียงกันจากเหล่าหัวโบราณ) เขานำทุนก้อนโตของเขามาทุ่มสร้างแพลตฟอร์มโซเซียมีเดียเอง ซึ่งแพลตฟอร์มนั้นก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งของ Truth Social ของ Donald Trump แต่การที่ Truth Social ตะเกียกตะกายกว่าจะเปิดตัวได้ก็ทำให้เห็นชัดว่าการที่จะสร้างคู่แข่ง Twitter จากศูนย์เลยนั้นเป็นเรื่องยากไม่น้อย
แต่ Ali Mogharabi นักวิเคราะห์จาก Morningstar ชี้ว่า “หากเขาสามารถระดมเงินทุนได้ 4.3 หมื่นล้านเหรียญเพื่อเข้าซื้อบริษัทได้จริงล่ะก็ ก็เป็นไปได้ว่าถ้าเขาโดนปฏิเสธ เขาก็อาจจะยังคงสามารถระดมทุนเพื่อที่จะสร้างแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่คล้ายกันขึ้นมาได้”
บทความแปลและเรียบเรียงจากบทความ Twitter’s Poison Pill, Elon Musk’s ‘Plan B’: 6 Possible Scenarios Of What Happens Next เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: เปิดบัญชี "เศรษฐีรัสเซีย" : เจ้าพ่อผู้โดนคว่ำบาตร
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine