‘เมิร์ซ เอสเธติกส์’ ยอดขายแตะ 2,000 ล้าน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงาม เดินหน้าสร้างความมั่นใจลูกค้าชาวไทย - Forbes Thailand

‘เมิร์ซ เอสเธติกส์’ ยอดขายแตะ 2,000 ล้าน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงาม เดินหน้าสร้างความมั่นใจลูกค้าชาวไทย

“เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย” ฉลองครบรอบ 9 ปีด้วยยอดขายแตะ 2,000 ล้านบาท และขายเครื่องอัลเทอร่าได้กว่า 600 เครื่อง ส่วนปีนี้ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนแนวทางการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมจัดทำดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย (Self-Confidence Index) ครั้งแรกในประเทศไทย และริเริ่มโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนสู่สังคมและโลก


    “เมิร์ซ เอสเธติกส์” บริษัทเวชศาสตร์ความงามสัญชาติเยอรมันที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยครบปีที่ 9 ประกาศความสำเร็จในแง่ของยอดขาย พร้อมวางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ มุ่งมั่นขับเคลื่อนแนวทางการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยอย่างไม่หยุดนิ่ง ภายใต้แนวคิด พลังแห่งความมั่นใจ (The Power of Confidence) วางแผนเดินหน้าเป็นผู้นำสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

    สำหรับแผนธุรกิจประจำปีที่ 9 ที่ตั้งเป้าไปที่ผลักดันสร้างความมั่นใจในสังคมไทย เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญอยู่ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่


1. Build Business with Confidence ก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงามอย่างมั่นใจ

    ในปี 2566 ที่ผ่านมา เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม ด้วยยอดขายทะลุเป้า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าทิศทางตลาดแบบ Double Digit ที่ 30% และมีการเติบโตของยอดขายนวัตกรรมชูโรงอย่างเครื่องอัลเทอร่ามากกว่า 600 เครื่อง ใน 46 จังหวัดทั่วประเทศไทย

    อีกทั้งยังเป็นผู้นำเทรนด์ความงามแบบ ‘skin quality’ ด้วยการเปิดตัวฟิลเลอร์งานผิวเนื้อละเอียด พร้อมเสริมทัพด้วยนวัตกรรมตัวล่าสุด ได้แก่ สารฉีดกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ Regenerative Biostimulator ทั้งนี้ ล้วนเป็นความสำเร็จที่สอดรับกับทิศทางของธุรกิจการแพทย์และความงามที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสสะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตเฉลี่ย 16.6% ต่อปีจนถึงปี 2570

    “เทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงให้ความสนใจกับการดูแลตัวเอง หรือมี self-care อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คลินิกความงามยังคงมีแนวโน้มเปิดใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงยังคงมีผู้ทำธุรกิจเวชศาสตร์ความงามรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดเมืองไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดยังคงเติบโต” ภญ.กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้บริหารสูงสุด เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย และสิงคโปร์ กล่าว


    ขณะเดียวกันเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงส่งเสริมการเติบโตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ บนมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และมีส่วนร่วมในงานวิจัยและการพัฒนาเพื่อต่อยอดนวัตกรรมเสริมความงาม และมีบทบาทในอีเวนต์สำคัญ อาทิ

    -เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนา “Science Behind Confidence” โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องความงามที่ควรมาพร้อมกับความปลอดภัย

    -การเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการจัดงาน DASIL World Congress ครั้งที่ 11 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล และเทคนิคการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำมาสู่เทรนด์ความงามยุคใหม่ที่ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยสำหรับทุกคน

    นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินกลยุทธ์เน้นไปที่การอัพเดตเทรนด์ความรู้และนวัตกรรมเสริมความงามยุคใหม่ผ่านกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคลินิกเสริมความงามชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่

    -การจัด In-Clinic Clinical Training เพื่อเสริมทักษะแก่แพทย์ผู้ทำหัตถการความงามมากกว่า 500 เซสชั่น นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ยังจัดเวิร์กชอปและงานประชุมทางวิชาการ (Symposium) 30 งาน โดยมีแพทย์ความงามเข้าร่วมกว่า 2,000 คน

    -การจัด Commercial Training อัปสกิลส่งเสริมการขายให้กับบุคลากรและพนักงานในคลินิกเสริมความงามกว่า 30 เซสชั่น รวม 800 คน

    ไม่เพียงเท่านี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังได้หยิบจับศาสตร์ด้านความงามสื่อสารต่อไปยังผู้บริโภคในรูปแบบที่แปลกใหม่และย่อยง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคได้ความรู้ เข้าถึงการใช้งานนวัตกรรมเสริมความงามได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    โดยจัดงานระดับ Expo ครั้งแรกในชื่อว่า Merz Aesthetic Expo: Haus of Confidence ดึงดูดผู้บริโภคด้วยกิจกรรมรูปแบบ Edutainment และประสบความสำเร็จด้วยยอดผู้เข้าชมสูงถึง 6,600 คนตลอด 5 วัน โดย Merz Aesthetic Expo จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อีกครั้งภายใน 2 ปีข้างหน้า


2. Blend Sustainable Work with Confidence ก้าวสู่องค์กรใส่ใจโลกกับโครงการสร้างความยั่งยืน

    นอกจากการสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าและผู้บริโภค ทิศทางสำหรับองค์กรในปี 2567 เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยมุ่งสร้างองค์กรที่ใส่ใจในความยั่งยืนไปสู่ชุมชนและสังคม ริเริ่มที่จะพัฒนาแนวคิดและโครงการด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกับคู่ค้าคลินิกและคนในองค์กรไปพร้อมๆ กัน

    โดยเริ่มต้นจากการผลักดันโครงการจัดการขยะและการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เสริมความงามและอุปกรณ์อย่างถูกวิธี ภายใต้ชื่อว่า “Merz Aesthetics Zero Waste” ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ดังนี้

    -โครงการ Merz Aesthetics Set Zero Office Waste เพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการขยะจากการแยกขยะที่ต้นทาง โดยบริษัทฯ ให้ความรู้ความเข้าใจพนักงานในองค์กรถึงประเภทของขยะที่ถูกต้อง ส่งเสริมและปลูกฝังพฤติกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดการลดปริมาณขยะ แยกขยะอย่างถูกวิธี และลดการสิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรที่ใช้ในการกำจัดขยะได้ในขั้นตอนถัดไป

    -โครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ไม่เพียงแต่สร้างบรรจุภัณฑ์ความงามที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ความงามด้วยวิธีรีไซเคิล นำอุปกรณ์มาทำประโยชน์ใหม่อีกครั้ง


    ซึ่งทางเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในการแยกขยะ และสร้างสิ่งใหม่โดยใช้ขยะจากผลิตภัณฑ์ความงามได้แก่ บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด และแบรนด์ควอลี่ โดยจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

    “สิ่งที่เราคิดคือหัวอัลเทอร่าเป็นสิ่งที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ช่วงแรกเราเริ่มต้นจากการร่วมมือกับลูกค้านำหัวอัลเทอร่ากลับมากำจัดอย่างถูกวิธี แต่ล่าสุดเรากำลังมองว่าจะสามารถนำมา Upcycling ทำเป็นโปรดักต์อื่นได้ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในเร็วๆ นี้” ภญ.กิตติวรรณ กล่าว


3.Bring Self-Confidence Insight to Life เผยดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย ต่อยอดพันธกิจองค์กร

    ในปีนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ประกาศจัดทำดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย “Self-Confidence Index” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเจาะลึกอินไซด์ของผู้บริโภคในด้านความมั่นใจและต่อยอดสู่แคมเปญการสื่อสารที่ยั่งยืน ซึ่งได้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นที่ปรึกษาดูแลการวิจัยในภาพรวม

    โดยจากการสำรวจผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป 1,000 ราย เผยว่าคนไทยมีระดับความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยอยู่ที่ 84% และทุกๆ เจนเนอเรชันมีระดับความมั่นใจในตนเองที่แตกต่างกันออกไปดังนี้

    -Gen X อายุ 42-55 ปี (Happiness) เป็นช่วงวัยที่เกิดความมั่นคงทั้งทางอาชีพ ประสบการณ์ และอารมณ์ จึงมีคะแนนความมั่นใจในตนเองสูงสุดที่ 88% และมีพฤติกรรมการดูแลตัวเองตามช่วงอายุ ใช้ชีวิตแบบปล่อยวาง แต่จะรู้สึกเติมเต็มมากยิ่งขึ้น เมื่อรักษารูปร่างและหน้าตาให้มีความอ่อนเยาว์กว่าวัย

    -Gen Y อายุ 26-41 ปี (Self-Love) เป็นวัยที่เจอกับแรงกดดันสูงกว่าในหลายๆ ด้าน เป็นช่วงวัยที่เป็นเดอะแบก ทำให้มั่นใจในตัวเองน้อยกว่า โดยมีคะแนนอยู่ที่ 82% อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้เติบโตในช่วงเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี และได้ผ่านประสบการณ์ในสังคมมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มค้นพบความต้องการและเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองว่าอยากดูดีในรูปแบบไหน ทำให้ Gen Y เน้นการดูแลตัวเองแบบ “Prejuvenation” เพื่อคงความอ่อนเยาว์

    -Gen Z อายุ 18-25 ปี (Ideal Self) เป็นช่วงวัยที่ได้รับอิทธิพลจากคนดังในโลกโซเชียลมีเดีย จึงมีความตื่นตัวอย่างมากกับความรู้เกี่ยวกับความงามและการดูแลผิวด้วยตนเอง โดยเป็นกลุ่มที่มีความมั่นใจที่คะแนน 85%


    ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจมีทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านทัศนคติ (attitude & mindset) 2.ด้านสังคมรอบตัว (social) 3.ด้านการงานและการเรียน (work & study) 4.ด้านสุขภาพ (health) 5.ด้านรูปลักษณ์ภายนอก (appearance) 6.ด้านการเงิน (income)

    โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองมากที่สุด คือ ด้านรูปลักษณ์ภายนอก (appearance) ในขณะที่ระดับคะแนนความมั่นใจในด้านรูปลักษณ์ภายนอกกลับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 82% 

    อย่างไรก็ตาม คนไทยส่วนใหญ่ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังอยากเสริมเติมแต่งเพิ่มความดูดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมโซเชียลมีเดียของคนไทย ที่นิยมใช้แอปพลิเคชันในการปรับแต่งรูปให้ออกมา “เป็นตัวเองที่ดูดีขึ้น” เพื่อเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิต

    ช่องว่างของระดับคะแนนความมั่นใจจึงเปิดโอกาสให้บริษัทฯ เดินหน้าผลักดันธุรกิจหัตถการความงาม โดยเชื่อว่าการเข้ารับบริการเสริมความงามจะเพิ่มความมั่นใจให้คนไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนจากอินไซต์ของผลสำรวจที่พบว่า คนไทยมีคะแนนความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยสูงถึง 91% ภายหลังจากเข้ารับบริการหัตถการความงาม

    และคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับว่า การทำหัตถการความงาม เป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญ สำหรับเสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความกังวลต่างๆ ที่มีต่อผิวพรรณและรูปร่างตนเองได้ในเวลาอันสั้น ช่วยให้ตนเองโฟกัสชีวิตตัวเองในด้านอื่นๆ ได้อย่างสบายใจ

    ทั้งนี้ Self-Confidence Index จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเมิร์ซในการเจาะลึกพฤติกรรมของผู้บริโภคในไทยได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น นำมาสู่แคมเปญการสื่อสารที่จะบูสต์อัปความมั่นใจคนไทยไปอีกหนึ่งขั้นในอนาคต

    ทั้ง 3 กลยุทธ์ธุรกิจในปี 2567 นี้ล้วนเป็นการตอกย้ำจุดยืนของเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการความงามอันดับ 1 อย่างมั่นใจ โดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ และให้ความสำคัญกับดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย เสมือนเป็นเครื่องมือหลักที่จะนำทางแคมเปญการสื่อสารต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

    ส่วนเป้าหมายทางธุรกิจนั้น เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย คาดว่าจะมียอดขายแตะ 3,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยยังคงมีเครื่องอัลเทอร่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก



​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : The Body Shop ใน UK ใกล้ล้มละลาย พนักงาน 2,200 คนยังมืดมน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine