‘ห้างเซ็นทรัล’ ทุ่ม 4 พันล้านบาท ปรับใหญ่ ‘ชิดลม’ รอบ 50 ปี สู่ห้างลักชัวรีเทียบชั้นห้างหรูยุโรป - Forbes Thailand

‘ห้างเซ็นทรัล’ ทุ่ม 4 พันล้านบาท ปรับใหญ่ ‘ชิดลม’ รอบ 50 ปี สู่ห้างลักชัวรีเทียบชั้นห้างหรูยุโรป

“ห้างเซ็นทรัล” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ทุ่ม 4 พันล้าน ปรับใหญ่เซ็นทรัล ชิดลม ในรอบ 50 ปี สู่ห้างลักชัวรีหรู เทียบชั้นห้างหรูยุโรปทั้งอังกฤษ อิตาลี เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์


    ณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ได้ลงทุน 4 พันล้านบาท เพื่อพลิกโฉมห้างเซ็นทรัลชิดลม ภายใต้คอนเซปต์ “The Store of Bangkok” และเป็น global shopping destination ที่คนทั่วโลกต้องแวะมา

    “เป็นการลงทุนปรับโฉมที่เราใช้งบลงทุนสูงที่สุดตั้งแต่เปิดชิดลมมา 50 ปี และเป็นครั้งแรกที่เราใช้สถาปนิกมากถึง 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น และไทย เพื่อออกแบบชิดลมในแต่ละชั้นให้มีความแตกต่างกัน บางชั้นใช้สถาปนิก 2 ประเทศ บางชั้นประเทศเดียว ซึ่งจะทำให้ชิดลมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลที่มีอยู่ 75 สาขาทั่วประเทศ” ณัฐธีราบอก

เซ็นทรัลชิดลมในอดีต


    การปรับโฉมของห้างเซ็นทรัลชิดลม จะทำภายใต้ 3 แนวคิดหลัก เพื่อเทียบชั้นและมุ่งสู่การเป็น collection of luxury flagship department store หรือห้างระดับลักชัวรีหรู ที่กลุ่มเซ็นทรัลมีในยุโรปหลายประเทศ เช่น ห้าง Selfridges ประเทศอังกฤษ ห้าง Rinascente ที่มิลานและโรม ประเทศอิตาลี ห้าง KaDeWe ประเทศเยอรมนี ห้าง IILUM ประเทศเดนมาร์ก ห้าง Brown Thomas ที่ดับลิน ไอร์แลนด์ และห้าง Globus ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

    “ห้างเซ็นทรัลชิดลม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เพราะเป็นห้างแฟล็กชิปของเรามาตั้งแต่ปี 2517 โดยไม่เพียงมีทำเลเชิงกลยุทธ์ใจกลางเมืองที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นห้างสรรพสินค้าในรูปแบบ One-Stop-Shopping แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีพัฒนาการผ่านยุคสมัยและอยู่คู่กับลูกค้าและวงการค้าปลีกไทยมากว่า 5 ทศวรรษ


    “วันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม จะก้าวขึ้นสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรีด้วยแบรนด์และสินค้าที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน การบริการระดับเวิลด์คลาส วันนี้เราไม่ได้มองห้างเซ็นทรัลชิดลมในฐานะห้างสรรพสินค้าเท่านั้น แต่ที่นี่คือจุดหมายปลายทางของการช็อปปิ้งของกรุงเทพฯ” ณัฐธีรากล่าว

    ทั้งนี้ การปรับโฉมของเซ็นทรัลชิดลม จะทำภายใต้ 3 แนวคิด คือ The Store of Design and Concept เพราะที่นี่ถูกออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกชั้นนำของไทยพร้อมบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก เพื่อสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่มีความร่วมสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย มีการเลือกใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศไทย ทำให้ห้างเซ็นทรัลชิดลมถูกยกระดับในหลากหลายมิติ ได้แก่ การยกระดับประสบการณ์ ด้วยการขยายพื้นที่ส่วนกลางของห้างให้กว้างขวาง โอ่อ่า บรรยากาศหรูหราและผ่อนคลาย


    นอกจากนี้ยังยกระดับสถาปัตยกรรม ด้วยการออกแบบ Façade ด้านนอกอาคาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของห้างเซ็นทรัลชิดลมให้มีความทันสมัยมากขึ้น เลือกใช้กระจกสีขาวขุ่น ซึ่งสามารถเรืองแสง และเปลี่ยนสีได้ในเวลากลางคืน เซ็นทรัลชิดลมจึงจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่สว่าง สดใส มีชีวิตชีวา และเป็น Iconic landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร

    เซ็นทรัลชิดลมยังยกระดับการเข้าถึง ด้วยการเพิ่มทางเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า (Sky Bridge) ที่ชั้น 1 เข้าสู่ชั้นลักชัวรีโดยตรง พร้อมขยายทางเชื่อมรถไฟฟ้าเดิมที่ชั้น 2 เพื่อให้ลูกค้าเดินทางเข้าสู่ห้างเซ็นทรัลชิดลมได้สะดวกสบายมากขึ้น


    การปรับโฉมของชิดลมยังทำภายใต้แนวคิด The Store of Curated Destinations คือเป็นเดสติเนชั่นที่รวบรวมหลากหลายแบรนด์ไว้ในที่เดียว ตอบโจทย์ลูกค้าของห้างเซ็นทรัลชิดลม ด้วยบูทีคแบรนด์ระดับเวิลด์คลาสลักชัวรี อาทิ Balenciaga, Bottega Veneta, Burberry, Celine, Chanel, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Fendi, Gucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Missoni, Miu Miu, Prada, Roger Vivier, Saint Laurent และ Versace

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดพื้นที่ Shoes Avenue รวบรวมคอลเลกชั่นรองเท้าแบรนด์หรูให้เลือก และลองได้ครบทุกสไตล์ในพื้นที่เดียวจากแบรนด์ต่างๆ อาทิ Bottega Veneta, Burberry, Christian Louboutin, Coperni, Cult Gaia, Dolce & Gabbana, GCDS, Gucci, Isabel Marant, Jimmy Choo, Marni, Prada, Proenza Schouler, Roger Vivier, Sergio Rossi, Sophia Webster, Tod's, Tom Ford, Tory Burch, และ Vivienne Westwood

    ไม่เพียงเท่านี้ ที่ชิดลมยังมีแบรนด์ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่นี่ด้วยเช่นกัน เช่น Giuseppe Zanotti, Mach & Mach, Rene Caovilla, The Attico เป็นต้น

    ณัฐธีรากล่าวอีกว่า บริษัทยังเตรียมเปิดบิวตี้ แกลเลอรี โฉมใหม่ที่หรูหราและที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บนพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม. มีผลิตภัณฑ์แบรนด์ความงามระดับโลกกว่า 150 แบรนด์ พร้อมด้วยบูทีคคอนเซ็ปต์พิเศษจากบิวตี้แบรนด์ระดับโลก อาทิ Chanel, Dior, La Mer และ Gucci นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิก รวมถึงผลิตภัณฑ์ความงามเฉพาะกลุ่ม (Niche Beauty) ด้วย

    เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ บริษัทมี “Sneaker Boulevard” ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นและสตรีทแฟชั่น รองเท้าสนีกเกอร์กว่า 800 คู่ ทั้งคอลเลกชันล่าสุด รุ่นพิเศษ รุ่นหายากจากหลากหลายแบรนด์ดังเพื่อคนรักสนีกเกอร์โดยเฉพาะ


    และยังเพิ่มร้านอาหารและคาเฟ่มากขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า จาก 25 ร้าน เป็นกว่า 60 ร้าน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการมาห้างเพื่อช็อปปิ้งเท่านั้น แต่มาแฮงก์เอาท์ใช้เวลาร่วมกับคนที่รัก ทำให้ห้างเซ็นทรัลชิดลมเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง และเป็นเดสติเนชันที่สมบูรณ์แบบ

    นอกจากนี้เซ็นทรัลชิดลมยังได้สร้าง Identity ใหม่ ด้วยการปรับโลโก้ (ตราสัญลักษณ์), ฟอนต์ (ตัวอักษร) พร้อมกับออกแบบสีใหม่ “Central Chidlom Rose Pink” หรือสีชมพูสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ ให้ความรู้สึกสดใหม่ เปี่ยมด้วยพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตร โดยสี Rose Pink ใหม่นี้จะใช้ที่เซ็นทรัลชิดลมสาขาเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ ห้างเซ็นทรัลชิดลมโฉมใหม่พร้อมอวดโฉมในเดือนเมษายน และโฉมใหม่เต็มรูปแบบในเดือนธันวาคมของปีนี้

    นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังเตรียมรีโนเวตห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลอีก 5 สาขาทั่วประเทศภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน


    บริษัทตั้งเป้าว่า ภายหลังจากโฉมใหม่ได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว จะมีจำนวนทราฟฟิกของลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น 20% และมียอดขายเติบโตขึ้น 30% ในปี 2568

    โดยปัจจุบันลูกค้าของห้างเซ็นทรัลชิดลมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อตั้งแต่กลางถึงสูง มีกำลังซื้อสูงกว่ากลุ่มลูกค้าปกติซึ่งใช้จ่ายต่อบิลอยู่ที่ 15,000 บาท ส่วนลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่คือ Gen Y และ Z มีสัดส่วน 20% จากลูกค้าทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 30% หลังจากปรับโฉมเรียบร้อย และกลุ่มสุดท้ายคือนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “ท็อปส์ เดลี่” เขย่าวงการค้าปลีก เปิดตัวโมเดลแฟรนไชส์ ชูลงทุนต่ำ-คืนทุนไว-กำไรดี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine