จับตาผลประกอบการ บจ. ลุ้นหุ้นเทค - Forbes Thailand

จับตาผลประกอบการ บจ. ลุ้นหุ้นเทค

สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2567 เริ่มต้นได้ดี โดยวันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,427.96 จุด เพิ่มขึ้น 0.86% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,832.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.09% ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.92% มาปิดที่ระดับ 419.50 จุด ขณะที่สัปดาห์นี้ต้องจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 4 ปี 2566 หุ้นกลุ่มแบงก์ และเซมิคอนดักเตอร์


    ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และดีกว่าตลาดหุ้นโลกอย่าง MSCI ที่ปรับตัวลดลง -1.8%

    หุ้นที่กลับมา Outperform ในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ลงมาลึกในปีที่แล้ว ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มที่โดดเด่น ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ (TRANS) +5.7% รับเหมาก่อสร้าง (CONS) +5.5% ธุรกิจการเกษตร (AGRI) +4.3% เงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) +4.2% ประกันภัยและประกันชีวิต (INSURE) +4% รวมถึงหุ้นปันผลสูง

    ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2567 ขานรับปัจจัยบวกจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีนถาวร ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบการท่าอากาศยาน ขณะที่ช่วงหลายสัปดาห์มีความผันผวนจากสัญญาณการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากตลาดปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ


จับตาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

    สำหรับแนวโน้มการลงทุนต้องจับตาความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) สงคราม Tech War ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ จะผลักดันให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรือชิปเติบโตขึ้น และผู้ผลิตจะมีการขยายกำลังการผลิตมากขึ้นในปีนี้

    สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก (SEMI) เผยแพร่รายงาน World Fab Forecast ปี 2567 แสดงให้เห็นว่ากำลังการผลิตชิปของโลกมากกว่า 80% อยู่ใน “เอเชีย” โดยมีกำลังการผลิตสูงกว่าปีที่แล้วอยู่เล็กน้อย โดยจีนมีกำลังการผลิตทั่วโลก 27% เพิ่มจาก 26% ในปี 2566 ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงต่ำกว่า 10% และยุโรป ต่ำกว่า 9% 

    ทั้งนี้ หากรวมห่วงโซ่การผลิตชิปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียมีกำลังการผลิตมากกว่าสหรัฐฯ และยุโรปรวมกัน

    บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ปี 2024 เป็นปีแห่งการกลับมาของ Semiconductor โดย CFRA research คาดแนวโน้มการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมาจากกลุ่ม Memory เป็นหลัก ซึ่งเป็นผลบวกมาจากความต้องการในกลุ่มธุรกิจ Generative AI และผู้ให้บริการธุรกิจ Cloud รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 เป็นผลบวกมาจากความคลี่คลายของปัญหาสินค้าคงคลังที่เริ่มฟื้นตัว

    โดย CFRA research มองกลุ่มยานยนต์โดยเฉพาะ EVs จะเป็นกลุ่มหลักที่ช่วยผลักดันความต้องการของ Semiconductor เช่น ความต้องการ silicon carbide power chips และ ADAS systems ที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของยานยนต์รุ่นใหม่ เป็นต้น

    ปัจจุบัน กลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากจีน ไต้หวัน ได้ขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย ส่วนผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยยังมีไม่มาก บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอันดับ 1 ได้แก่ บริษัท เดลต้า อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ จำกัด (มหาชน) (HANA) บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (KCE)


แนวโน้มหุ้นกลุ่มแบงก์

    สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่า ธนาคาร 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กรุงเทพ เกียรตินาคินภัทร กรุงไทย ไทยพาณิชย์ ทิสโก้ และธนาคารทหารไทยธนชาติ จะมีกำไรรวมในไตรมาส 4 ที่ 4.39 หมื่นล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย (NIM) ขณะที่ยอดสินเชื่อไตรมาส 4 ขยายตัวเล็กน้อย รวมถึงผลกระทบจากมาตรการแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย

    สัปดาห์นี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,415 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของ บจ. ไทย

    นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์การเมืองในประเทศ หลังสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่รัฐบาลประกาศในช่วงสิ้นปีจะส่งผลต่อบรรยากาศเศรษฐกิจและการลงทุนมากน้อยเพียงใด

    ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการนำเข้าและส่งออกเดือน พ.ย. 66 ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน ธ.ค. 66 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือน พ.ย. 66 ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน ธ.ค. 66 ของจีน


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SCBX ปรับทัพผู้บริหาร 2 บริษัทในเครือ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ นั่งซีอีโอ DataX ควบประธานบอร์ด InnovestX

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine