ซีอีโอ Pukar Hamal แห่งสตาร์ทอัพ SecurityPal ช่วยบริษัทเทคชั้นนำหลายแห่งรับมือกับงานเฉพาะทางอันน่าปวดหัวในสายปฏิบัติการ เคล็ดลับของเขาคือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเป็นศูนย์กลางของนักวิเคราะห์ที่กำลังเติบโตใน Kathmandu
เวลาที่บริษัทเทคใหญ่อย่าง Airtable, Figma และ OpenAI กำลังจะเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่ พวกเขาจะต้องทำขั้นตอนเดิมๆ ที่สำคัญแต่ซ้ำซากน่าเบื่อก่อนที่เงินจะเปลี่ยนมือ บริษัทเหล่านี้จะต้องตอบคำถามจนว่าที่ลูกค้ามั่นใจได้เสียก่อนว่า พวกเขาจะปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมายด้านการรักษาความลับของข้อมูล
งานที่ว่านี้คือ การตอบแบบสอบถามเรื่องความปลอดภัยที่มักจะมีหลายร้อยคำถาม และมันเป็นงานโลว์เทคชัดๆ “คุณเก็บข้อมูลอะไร? เก็บไว้ที่ไหน? จะนำไปใช้กับโมเดล AI ไหม? ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลของคุณมีรั้วลวดหนามไหม? คุณเช็กประวัติพนักงานไหม?” มันจุกจิกน่ารำคาญแต่ก็จำเป็น เพราะถ้าไม่ตอบแบบสอบถามลูกค้าธุรกิจรายใหญ่จะมองว่าการเดินหน้าทำสัญญาต่อนั้นเสี่ยงเกินไป
OpenAI ซึ่งเซ็นสัญญากับลูกค้าระดับ Morgan Stanley และ NASA มีพนักงาน 2 หรือ 3 คนที่ต้องรับศึกหนักอยู่บ่อยๆ เมื่อมีแบบฟอร์มเหล่านี้ส่งเข้ามา ส่วน Grammarly ซึ่งเป็นบริษัทที่ใช้ AI ช่วยทำงานเขียนนั้นเคยต้องให้วิศวกรฝ่ายขายฝ่าดงเอกสารแบบนี้ 10 หรือ 12 ซองต่อเดือน “ไม่มีใครชอบงานแบบนี้” David Hwang ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าของ Grammarly กล่าว
หลังจากที่ต้องรับมือกับเอกสารน่าปวดหัวพวกนี้ เหล่าบริษัทระดับบลูชิปซึ่งรวมถึงบริษัทมหาชนอย่าง monday.com, MongoDB และ Snap ก็ได้เจอยาแก้ปวดหัวในสถานที่ที่คาดไม่ถึงนั่นคือ ประเทศเนปาล ณ อาคารสำนักงานที่มีรั้วรอบขอบชิดบนถนนเล็กๆ สายหนึ่งกลาง Kathmandu พนักงานประมาณ 180 คนของสตาร์ทอัพ SecurityPal ใช้ทั้งซอฟต์แวร์และข้อได้เปรียบเรื่องเขตเวลาในการส่งแบบสอบถามกลับไปให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ซึ่ง Pukar Hamal ผู้ก่อตั้งและซีอีโอกล่าวว่า นี่คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการใช้ความช่วยเหลือของ AI และใช้ความชำนาญของมนุษย์
“ทุกวันนี้ถ้าคุณสร้างความเสี่ยงให้บริษัทต่างๆ ลูกค้าคุณหลุดมือไปแน่” Hamal กล่าว “และตราบใดที่ธุรกิจยังใช้มนุษย์ทำงานอยู่ เราก็ต้องใช้มนุษย์ในบริษัทของเราด้วย”
เมื่อมีบริษัทมาเป็นลูกค้า นักวิเคราะห์ของ SecurityPal จะใช้เวลา 4-6 สัปดาห์สร้าง “คลังความรู้” (Knowledge Library) ซึ่งมีคำตอบโดยละเอียดที่อาจจะต้องใช้ในการตอบแบบสอบถามหรือการตรวจสอบความปลอดภัย จากนั้นเมื่อมีซองคำถามส่งเข้ามานักวิเคราะห์ของ SecurityPal จะใช้ซอฟต์แวร์ตอบคำถามให้เสร็จได้อย่างรวดเร็วโดยมักจะทำเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง และมี AI ผู้ช่วยที่จะช่วยให้พนักงานของบริษัทลูกค้าตรวจสอบคำตอบข้อใดข้อหนึ่งได้โดยง่าย นอกจากนี้ การให้ AI เรียนรู้จากข้อมูลนิรนามในฐานผู้ใช้งานของบริษัทก็ยังช่วยให้นักวิเคราะห์ของ SecurityPal สามารถค้นหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดซึ่งลูกค้าอาจจะอยากนำไปใช้ในอนาคต (เช่น บริษัทลูกค้าควรจะทดสอบกระบวนการตอบโต้การโจมตีทางไซเบอร์บ่อยเพียงใด)
กว่า 4 ปีที่ผ่านมา SecurityPal ตอบคำถามทำนองนี้มาแล้ว 2 ล้านคำถาม มีบริษัทต่างๆ จ่ายเงินให้ที่นี่หลายแสนเหรียญสหรัฐฯ และมีสัญญาระดับล้านเหรียญเข้ามาเพิ่มอีก 2 ราย หมายความว่า รายได้ของ SecurityPal โตขึ้น 3 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนเป็นตัวเลขที่ราวกว่า 10 ล้านเหรียญ สตาร์ทอัพรายนี้มีมูลค่าประเมินแตะ 105 ล้านเหรียญหลังจากระดมทุนได้ 21 ล้านเหรียญในรอบซีรี่ส์ A เมื่อปี 2022 ซึ่งนำโดย Craft Ventures ที่มี David Sacks เจ้าแห่งคริปโตและ AI ของรัฐบาล Trump เป็นผู้ก่อตั้ง และมี a16z กับ Kearny Jackson เข้าร่วมด้วย
ถ้าเปรียบเทียบ SecurityPal กับบริษัทลูกค้าของพวกเขาก็ต้องถือว่าบริษัทนี้ไม่ได้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานหวือหวาอะไร และพูดตามตรงว่า บริการของที่นี่เป็นเรื่องเฉพาะทางมาก แต่บริษัทนี้มีแนวทางเหมือน Clay สตาร์ทอัพการตลาดครบวงจรระดับยูนิคอร์นที่พลิกเอาจุดโฟกัสเรื่องการทำงานที่น่าเบื่อมาเป็นจุดขายจนเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้อย่างรวดเร็วด้วยการช่วยให้บรรดาบริษัท AI ที่เก่งกาจและโดดเด่นที่สุดขายซอฟต์แวร์ของตัวเองได้ง่ายขึ้น
การที่ SecurityPal ทำงานเกือบทั้งหมดนี้ในเนปาลยิ่งทำให้ Hamal กลายเป็นผู้นำสายเทคที่น่าจับตามอง ถึงแม้การใช้ทีมงานในต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าจะไม่ใช่ไอเดียใหม่ในวงการไอทีก็ตาม เพราะแม้แต่ในภาคธุรกิจ AI ที่กำลังเฟื่องฟู บริษัทอย่าง Scale AI ก็โตเร็วได้ด้วยการใช้กองทัพแรงงานนั่งคลิก (click-worker) ภายใต้สัญญาจ้าง
แต่ Hamal ชาวสหรัฐฯ ผู้เกิดในเนปาล ซึ่งใช้เวลาที่สำนักงานของ SecurityPal ทั้งใน Kathmandu และเมือง San Francisco กำลังสร้าง SecurityPal ให้แตกต่าง โดยจะไม่เป็นเพียงบริษัทที่รับงานแล้วกินส่วนต่างค่าแรง แต่จะเป็นใจกลางของศูนย์กลางสตาร์ทอัพแห่งใหม่ใน Kathmandu ที่เขาตั้งชื่อว่า “Silicon Peaks” และเขาจะทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงโดยการจ้างพนักงานประจำด้วยเงินเดือนสูงกว่าท้องตลาดและจัดหลักสูตรฝึกอบรมให้
“การสร้างแรงกระตุ้นให้คนเป็นโขยงอยากมานั่งตอบแบบสอบถามทั้งวันมันยาก เว้นแต่จะมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นว่าคุณทำไปทำไม” Hamal กล่าว “ต่อให้เกษียณไปแล้วผมก็ยังอยากทำเรื่องนี้ต่อ ผมจะยก Silicon Valley มาไว้ที่ Kathmandu”
SecurityPal เริ่มต้นดำเนินงานในปี 2020 ท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์หนีโรคระบาดทั่วโลก โดยเป็นโครงการที่เขาลงทุนเอง Hamal ซึ่งเกิดที่ Kathmandu ใช้ชีวิตวัยเด็กช่วงหนึ่งในชนบททางตะวันตกของเนปาลก่อนจะย้ายไปอยู่สหรัฐฯ กับพ่อที่เป็นนักการเมืองและแม่ที่เป็นครู ซึ่งขอลี้ภัยการเมืองเมื่อปี 1999 ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงและสงครามกลางเมืองในเนปาล ครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ในย่าน Queens ของเมือง New York แม่ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ส่วนพ่อไปทำงานในร้านอาหารจนกระทั่งได้ปริญญากฎหมายอีกใบและได้งานที่มั่นคงขึ้นคืองานขายประกันสุขภาพ
Hamal เป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ เขาลงวิชาเรียนที่ Columbia University ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จากนั้นก็เข้าศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Stanford University ซึ่งในระหว่างนั้นเขาได้กระทบไหล่กับพวกหัวกะทิแห่งวงการเทคขณะที่เขาทำงานให้มูลนิธิไม่แสวงหากำไรของเศรษฐีพันล้าน Marc Andreessen และ Laura Arrillaga-Andreessen ต่อมาหลังจากไปทำงานด้านการขายในสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งได้ 2 ปี Hamal ก็ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อ Teamable ในปี 2016 ซึ่งสตาร์ทอัพด้านการสรรหาบุคลากรแห่งนี้ระดมทุนได้กว่า 5 ล้านเหรียญ แต่บริษัทพยายามโตเร็วเกินไปจนในที่สุดก็ต้องขายกิจการไปถูกๆ ในปี 2020
ระหว่างที่ Hamal กำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อดีเขาก็ยังไม่ลืม “บทเรียนอันเจ็บปวด” ที่ได้มาจาก Teamable นั่นคือ ในตอนกลางดึกของวันที่เขากำลังจะได้ลูกค้ารายใหญ่เข้ามา 1 ราย ว่าที่ลูกค้าส่งแบบสอบถามเรื่องความปลอดภัยมา 200 กว่าหน้าตอน 5 ทุ่ม และผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากการลุยงานจนถึงเช้าก็ไม่ดีเลย “เราทำพังไม่เป็นท่า” Hamal เล่า “แล้วข้อตกลงนั้นก็ล้มไป”
ในเดือนมีนาคม ปี 2020 Hamal จึงตัดสินใจลองช่วยสตาร์ทอัพอื่นๆ รับมือปัญหาทำนองนี้ ในตอนแรก SecurityPal ทำงานแบบลงแขกมากกว่าใช้เทคโนโลยี หลังจากได้ Airtable มาเป็นลูกค้ารายใหญ่รายแรก Hamal ทำงานข้ามคืนติดๆ กันร่วมกับผู้รับจ้างในสหรัฐฯ เพื่อลดเวลาของกระบวนการนี้ลงจาก 3 หรือ 4 สัปดาห์ให้เหลือแค่สัปดาห์เดียว หลังจากนั้นไม่นาน Figma ก็เข้ามาเป็นลูกค้าด้วย และเมื่อผ่านไป 1 ปี Hamal ก็สร้างรายได้ประจำให้แตะ 1 ล้านเหรียญได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินทุนจากภายนอกและตั้งใจจะขยายกิจการ
“จุดขายของเราคือ ถ้าคุณได้แบบสอบถามมาไม่ต้องเปิดให้เสียเวลา ส่งมาให้เราแล้วไปนอนซะ วันรุ่งขึ้นมันจะเสร็จเรียบร้อยอยู่ในกล่องข้อความของคุณเหมือนใช้เวทมนตร์” Hamal กล่าว

ปลายปี 2020 Hamal รู้ว่าเขาต้องปรับทิศทางธุรกิจเพื่อลดการพึ่งพาผู้รับจ้าง ซึ่งบริษัทบริหารจัดการความรู้ความชำนาญของคนเหล่านี้ได้ยากและพวกเขามีแนวโน้มจะเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ โชคดีที่ Hamal มีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือเขามีรากเหง้าในเนปาลและเขารู้จักกับ Laxman Basnet ผู้นำสตาร์ทอัพและนักบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีประสบการณ์ หลังจาก Basnet เรียนจบและทำงานสายเทคอยู่ในเยอรมนีเขากลับมาเนปาลในปี 2015 เพราะกลุ่มบริษัท Rocket Internet ขอให้เขามาช่วยสร้างสตาร์ทอัพอี-คอมเมิร์ซที่นั่น ซึ่งบริษัทนี้ถูกขายให้ Alibaba ในภายหลัง
เมื่อได้ Basnet มาเป็นผู้จัดการทั่วไปและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายส่งมอบงานทั่วโลก SecurityPal จึงสามารถจ้างพนักงานหนุ่มสาวที่พูดภาษาอังกฤษได้และมีทักษะเชิงเทคนิค ซึ่งคนเหล่านี้เคยต้องย้ายออกจากเนปาลไปหาโอกาสที่ดีกว่าในอินเดีย ยุโรป และสหรัฐฯ และต้องยอมรับค่าจ้างถูกกว่าคนท้องถิ่น แต่ Hamal อยากสร้างผลกระทบเชิงบวกให้มากยิ่งกว่านี้ เขาอยาก “ช่วยให้ได้ดีกันทั้งชุมชน” โดยกล่าวว่า “ถ้าบริษัทอเมริกันตั้งสำนักงานในยุโรปหรือออสเตรเลีย เราไม่เรียกว่าเป็นการ ‘เอาต์ซอร์ซ’ นะ”
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023 SecurityPal เปิดตัวศูนย์ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยใน Kathmandu โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศเนปาลไปร่วมพิธีเปิด และปัจจุบันสำนักงานขนาด 2,785 ตารางเมตรแห่งนี้จ้างพนักงานประจำ 180 คน เทียบกับสำนักงานในเมือง San Francisco ที่มีพนักงาน 25 คน Basnet กล่าวว่า พนักงานในเนปาลถือเป็นสมาชิกของทีมเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานของพวกเขาในสหรัฐฯ (สำนักงานใน San Francisco มีพนักงานฝ่ายขาย วิศวกรอาวุโส การตลาด และผลิตภัณฑ์) โดยมีสวัสดิการประกันสุขภาพและอุบัติเหตุให้ และยังมีงบประมาณพาไปเที่ยวพักผ่อนด้วย
พนักงานส่วนใหญ่เป็นนักวิเคราะห์ระดับเริ่มต้นซึ่งมองว่าการทำงานที่ SecurityPal สัก 2-3 ปีน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และบริษัทก็จ้างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและวิศวกรซอฟต์แวร์ด้วย บริษัทกล่าวว่า นักวิเคราะห์ได้เงินเดือนปีละ 18,000-40,000 เหรียญตามประสบการณ์ ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในตลาดของเนปาลประมาณ 150% ส่วนตำแหน่งงานที่อาวุโสกว่านั้นอาจได้เงินเดือน 60,000-70,000 เหรียญ ซึ่ง Basnet เสริมว่า เพียงพอให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้สบาย “ถ้าเราอยากทะเยอทะยานก็ต้องจ้างคนเก่งมากๆ แล้วจ่ายเงินเดือนเขาให้เหมาะสม เพราะเราไม่ได้ทำการกุศล” เขากล่าว
John Park อดีตผู้นำฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Google และ Capital Group ซึ่งเกษียณมาอยู่เนปาลเมื่อ 18 เดือนก่อนกล่าวว่า SecurityPal ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนายจ้างที่ดีจริง และ Park ผู้ร่วมก่อตั้ง Product Vidhyalaya โครงการฝึกอบรม 4 สัปดาห์สำหรับผู้จัดการผลิตภัณฑ์ในเนปาลก็พากลุ่มผู้เข้าอบรมทั้ง 3 รุ่นที่ผ่านมาไปเยี่ยมชมสำนักงานของ SecurityPal และฟัง Basnet หรือ Hamal (ซึ่งตอนนี้เป็นเพื่อนกันส่วนตัวด้วย) บรรยายเป็นการปิดคอร์ส
“อุตสาหกรรมไอทีที่นี่ก็เหมือนอุตสาหกรรมไอทีที่อื่นซึ่งกำลังเฟื่องฟู บางบริษัทจ่ายเงินไม่ค่อยดี บางแห่งก็เปลี่ยนพนักงานเยอะเพราะรู้ว่าพนักงานจะอยู่ไม่นาน” Park กล่าว “SecurityPal ไม่ใช่บริษัทแบบนั้น พวกเขามีแนวทางมองการณ์ไกล”
Park กล่าวว่า SecurityPal ไม่กลัวการเอาคนออก แต่ต้องเป็นพนักงานที่ทำผลงานไม่ได้ตามมาตรฐานระดับ Silicon Valley ของบริษัท ซึ่ง Basnet กล่าวว่า คนกลุ่มนี้ก็มักลาออกไปเองในช่วงฝึกอบรมเข้มข้น 6 เดือนแรก บริษัทกล่าวว่า บริษัทรักษาระดับความพึงพอใจของพนักงาน (NPS) ไว้ได้ที่ 76 คะแนน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการจ้างบุคลากรมองว่าเป็นระดับ “ยอดเยี่ยม”
ตอนที่ OpenAI เปิดตัวแชตบอต ChatGPT สู่สาธารณชนครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 Hamal แอบตกใจอยู่เหมือนกัน “มันจะมาล้มธุรกิจเราไหม” แต่เขาก็หาวิธีนำเครื่องมือ generative AI มาใส่ในซอฟต์แวร์ของ SecurityPal ได้อย่างรวดเร็ว แนวทางของ SecurityPal คือการนำระบบอัตโนมัติและ AI มาทำงานร่วมกับนักวิเคราะห์ที่เป็นมนุษย์ซึ่งทำหน้าที่เหมือนหัวหน้างานเพื่อเร่งกระบวนการโดยไม่สูญเสียความแม่นยำ
ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพรายอื่นๆ เคยสะดุดเพราะการใช้ AI ร่วมกับคน Atrium สตาร์ทอัพซอฟต์แวร์กฎหมายและงานด้านกฎหมายที่ก่อตั้งโดย Justin Kan ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitch เคยระดมทุนได้กว่า 75 ล้านเหรียญและเคยเป็นที่สนใจมาก แต่ต้องปิดตัวไปอย่างสมบูรณ์ในปี 2020 หลังจากเลิกจ้างพนักงานหลายรอบ ส่วนบริษัทซอฟต์แวร์รายอื่นๆ ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ช่วยทำงานเขียนไปจนถึงบริการด้านบัญชีและการเงินต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจาก OpenAI และโมเดล AI อื่นๆ ที่ทำงานแบบเดียวกับพวกเขาได้ด้วยการกดปุ่มแค่ไม่กี่ครั้ง
ส่วนในสายงานของ SecurityPal นั้น ปัจจุบันก็มีสตาร์ทอัพอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่เสนอขายเครื่องมือตอบแบบสอบถามอัตโนมัติเช่นกัน ตั้งแต่ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์งานกำกับดูแลตลอดกระบวนการอย่าง Vanta ไปจนถึงซอฟต์แวร์แก้ปัญหาเฉพาะจุดอย่าง Conveyor ซึ่งระดมทุนได้ 12.5 ล้านเหรียญในปี 2023 แต่ Hwang จาก Grammarly กล่าวว่า ทีมของเขาเคยลองตรวจสอบบริการที่ใช้ AI ล้วนๆ ดูแล้วก่อนที่จะตัดสินใจมาเป็นลูกค้าของ SecurityPal แต่พบว่าโซลูชั่นพวกนั้นยังวางใจไม่ได้ “การตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไขคำตอบยังจำเป็นต้องใช้แรงคนอยู่มาก” เขากล่าว
Bil Harmer แห่ง Craft Ventures อดีตผู้บริหารด้านความปลอดภัยที่ SecureAuth, Zscaler และ SuccessFactors กล่าวว่า กิจการใหญ่ๆ ที่ไม่อยากเผชิญความเสี่ยงเพิ่มเติมจากอาการหลอนของ AI น่าจะชอบบริการของ SecurityPal ที่ใช้เครื่องมือ AI ร่วมกับความเชี่ยวชาญของมนุษย์มากกว่า “ตอนผมเห็นมันครั้งแรก ผมคิดเลยว่าทำไมเราเพิ่งมาเจอกันเอาป่านนี้” เขากล่าว
ซีอีโอของ SecurityPal กล่าวว่า พวกสตาร์ทอัพ AI ล้ำยุคอื่นๆ นอกจาก OpenAI เช่น Cursor และ Langchain ทุกรายอยากร่วมงานกับ SecurityPal มากกว่าจะสร้างระบบอัตโนมัติมาใช้กับงานเฉพาะทางด้วยตัวเอง “[โมเดลภาษาตัวใหญ่ๆ] พัฒนาไปนิดหน่อย แต่ในความเป็นจริงคุณก็ต้องเอามนุษย์ที่ตัดสินใจได้ดีและเหมาะสมมาตรวจงานอยู่ดี” Hamal กล่าว “ผมไม่อยากพูดว่า AI ไม่มีวันแก้โจทย์นี้ได้ เพราะมันจะมีความสำเร็จใหม่ๆ เกิดขึ้นแน่นอน แต่เส้นทางสู่การสร้างความเชื่อมั่น หรือได้รับความเชื่อมั่น มันมีเดิมพันสูงมาก”
ปัจจุบัน SecurityPal นำ AI มาใช้ค้นหาข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ประสบการณ์ที่บริษัทสั่งสมมาเพื่อชี้ให้เห็นแนวทางปฏิบัติที่ดีหรือเรื่องที่อาจกลายเป็นข้อกังวลก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะโผล่ขึ้นมาในแบบสอบถาม แต่มนุษย์ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ Basnet กล่าวว่า ไม่เพียงแต่เขาจะจ้างคนเพิ่มอีก 25 หรือ 30 คนใน Kathmandu ในปีนี้ เขายังมีแผนจะตั้งศูนย์ความปลอดภัยสาขาย่อยในกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเวียดนามด้วย
SecurityPal กำลังร่วมมือกับโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยทั่วเนปาลพัฒนาหลักสูตรสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับนักวิเคราะห์ความปลอดภัย ตั้งแต่วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์และข้อมูล ไปจนถึงจิตวิทยาและความเข้าใจภาษาอังกฤษเพื่อให้ใช้เครื่องมือ AI ได้ดีขึ้น และตอนนี้มีสตาร์ทอัพอย่างน้อย 3 รายมาจ้างบริษัทเดียวกับที่ SecurityPal เคยจ้างให้ไปปรับปรุงสำนักงานของพวกเขาใน Kathmandu ซึ่ง Hamal ก็หวังว่าจะมีรายอื่นๆ ตามมาเมื่อพนักงานของ SecurityPal ออกไปเปิดบริษัทของตัวเองในอนาคต “ผมรู้ว่าในทีมนี้มีว่าที่ผู้ก่อตั้งกิจการอยู่เยอะเลย”
เรื่อง: ALEX KONRAD เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Ben Lamm เศรษฐีพันล้าน จากการชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์