Miles Lewis ได้เวลาเคี้ยว Apple - Forbes Thailand

Miles Lewis ได้เวลาเคี้ยว Apple

FORBES THAILAND / ADMIN
30 Sep 2025 | 09:07 AM
READ 81

หุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในเวลานี้สำหรับนักบริหารการเงินอย่าง Miles Lewis แล้ว นี้คือหุ้นที่พร้อมจะฟื้นตัวท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น


    เหล่าภาษี ภาวะเงินเฟ้อ ความโกลาหลทางเศรษฐกิจ Miles Lewis ผู้จัดการพอร์ตที่นิยมหุ้นแปลกๆ บอกว่า หุ้นดังกล่าวมีความแกร่งมากกว่าหุ้นทั่วไปเมื่อต้องเผชิญกับช่วงเวลาวายป่วงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

    ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มที่จะผลักดันนักช็อปให้หันไปจับจ่ายสินค้ากีฬาจากร้านค้าราคาย่อมเยาแทนร้านขายราคาแพง ถูกใจเขานัก! อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งดีต่อธนาคารออมทรัพย์เก่าแก่ที่เขาถือหุ้นอยู่ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลท้องถิ่นขายพันธบัตรได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งพาบริษัทค้ำประกันพันธบัตร ซึ่งก็ถูกใจเขาอีกเช่นกัน

    Lewis บริหารเงินลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมากแล้วอยู่ในกองทุน Royce Small-Cap Total Return แม้ว่าหุ้นทั้ง 60 ตัวของกองทุนแต่ละตัวจะมีเรื่องราวของตนเอง แต่ในภาพรวมยังคงให้มุมมองเชิงบวก บริษัทขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศมากกว่าบริษัทข้ามชาติในดัชนี S&P 500 “กลายเป็นฉนวนป้องกันผลกระทบจากภาษีตอบโต้และการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

    ปัจจัยหนุนอีกประการหนึ่งอาจมาจากหุ้นกลุ่มที่คล้ายกับหุ้นในมือของ Lewis ซึ่งผ่านพ้นช่วงเวลาฟื้นตัวมาแล้ว ตลอดระยะเวลา 16 ปีนับตั้งแต่วิกฤตการเงิน ผู้ชนะเลิศแห่ง Wall Street มักจะเป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่บริษัทบริหารเงินลงทุนที่ Charles Royce ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 53 ปีที่แล้วแห่งนี้เลือกที่จะยืนฝั่งตรงข้าม

    บริษัทต่างๆ ในกองทุน Royce Small-Cap Total Return มีมูลค่าตลาดโดยเฉลี่ยต่ำกว่า Apple ถึง 1,000 เท่า นอกจากนี้ ยังมีราคาไม่แพง โดยซื้อขายกันอยู่ที่ P/E 13 เท่าในรอบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับ 21 เท่าของดัชนี S&P โดยการคำนวณบริษัททั้ง 2 กลุ่มไม่นับรวมบริษัทที่มีผลขาดทุน

    หากหุ้นของ Lewis ไม่ได้มีราคาถูกขนาดนี้คงจะดีเสียกว่า กองทุนของ Lewis ก็เหมือนกับกองทุนส่วนใหญ่ของ Royce เมื่อหักค่าธรรมเนียมรายปี 1.2% แล้ว ยังคงสร้างผลตอบแทนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนขึ้นเมื่อปี 1993 แต่ก็ยังไม่ดีพอ เพราะเมื่อนักลงทุนนำไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของ S&P 500 แทนที่จะเป็นหุ้นขนาดเล็กด้วยกันแล้วนั้น พวกเขามองว่าเป็นโอกาสที่พลาดไป รายงานของ Morningstar แต่ละปีในรอบทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า กองทุนรวมของ Royce มีสินทรัพย์ออกมากกว่าเข้าเสียอีก

    Lewis บอกว่า หุ้นขนาดใหญ่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าเป็นเวลาราว 10 ปีได้เป็นเรื่องปกติ จากนั้นจะสถานการณ์จะกลับกันไปอีก 10 ปี ปัจจุบันการโน้มเอียงเข้าหาหุ้นที่มีการเติบโตสูงมาถึงระดับขีดสุดทางสถิติแล้ว เมื่อคำนวณมูลค่ารวมของบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด 5 อันดับแรก เช่น Microsoft และ Apple เป็นต้น เปรียบเทียบกับมูลค่ารวมของบริษัท 2,000 แห่งในดัชนี Russell 2000 สัดส่วนราว 10 ปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 1 แต่ในเวลานี้เกือบแตะระดับ 5 ต่อ 1 แล้ว

    ปีนี้อาจเป็นปีที่หุ้นขนาดเล็กจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ การค้าระหว่างประเทศที่หยุดชะงักไม่เป็นผลดีสำหรับ Apple แม้แต่น้อย เนื่องจากพวกเขามีความเกี่ยวพันกับประเทศจีนทั้งในด้านการผลิตและการขาย แต่สำหรับ UFP Industries บริษัทใน Michigan ซึ่งเป็นผู้ผลิตพาเลตให้กับโรงงานในประเทศและเป็นหุ้นตัวเลือกของ Lewis นั้นไม่น่าจะได้รับผลกระทบใดๆ

    กระแสต่อต้านสหรัฐฯ จะไม่สร้างความเสียหายให้กับ International General Insurance Holdings เช่นกัน บริษัทจากจอร์แดนแห่งนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พวกเขารับประกันความเสี่ยงแปลกๆ ในสถานที่แปลกๆ เช่น การเรียกร้องสินไหมทดแทนล่าสุดจากความเสียหายที่เกิดจากการยกเลิกคอนเสิร์ตดนตรีร็อกที่ Venice เนื่องจากนักร้องนำสูดควันไฟจากเหตุเพลิงไหม้ระหว่างการแสดงที่ Paris สำหรับ International General Insurance Holdings เป็นหุ้นที่กองทุนถืออยู่มากที่สุดนั่นเอง

    Academy Sports & Outdoors คือ ตัวอย่างเรื่องราวแห่งความหวัง (จนถึงตอนนี้!) และความเป็นไปได้ อาณาจักรค้าปลีกแห่งนี้คือ Dick’s Sporting Goods สำหรับคนงบน้อยดีๆ นี่เอง Lewis มองว่า เศรษฐกิจที่อ่อนแอประกอบกับการขึ้นราคาด้วยเหตุผลด้านภาษีของบริษัททั้ง 2 แห่งจะบีบให้ผู้ซื้อยอมควักกระเป๋าน้อยลง แม้เวลานี้เขาจะขาดทุน แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือ และตอนนี้การเดิมพันสวนกระแสกลับยิ่งแข็งแกร่งเนื่องจาก Academy มี P/E เพียงครึ่งหนึ่งของ Dick เท่านั้น

    นักลงทุนสายมูลค่ามักจะชอบบริษัทที่มีการซื้อขายที่ P/E ต่ำๆ แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นราคาถูกก็มีข้อเสียเช่นกัน Lewis ถือหุ้นของ Advance Auto Parts ผู้น่าสงสารเมื่อต้องยืนเคียงข้างกับ AutoZone แม้ว่าบริษัททั้ง 2 แห่งอาจจำเป็นต้องขึ้นราคาเพื่อรับมืออัตราภาษี แต่พวกเขาน่าจะได้ประโยชน์จากกลุ่มเจ้าของรถยนต์ที่เผชิญสภาพการเงินฝืดเคืองจนต้องประคองรถยนต์คันเก่าของไว้ต่อไป อย่างไรก็ตามในขณะที่ AutoZone สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ Advance กลับติดลบแดงแจ๋จนถูกตั้งราคา (เทียบกับรายได้) ไว้เพียง 1 ใน 10 ของ AutoZone เท่านั้น Lewis บอกว่า มันคือ “บ้านเก่าในทำเลทอง” รอเพียงการซ่อมแซมเท่านั้น

    Hingham Institution for Savings ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1834 จุดอ่อนของพวกเขาคือ โมเดลธุรกิจที่ล้าสมัยจากการกู้ยืมเงินระยะสั้น (เงินฝาก) แต่กลับปล่อยสินเชื่อระยะยาว (สินเชื่อจำนองเพื่อการพาณิชย์) เมื่อเส้นอัตราผลตอบแทนกลับหัวลงเมื่อ 2 ปีก่อน ผลกำไรของพวกเขาจึงร่วงลงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับราคาหุ้น เปิดโอกาสให้ Lewis เข้าไปช้อนซื้อ โดยยินดีมองข้ามการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว ปัจจุบันตระกูลที่ทำหน้าที่บริหารธนาคารแห่งนี้สามารถเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นได้ถึง 27 เท่าในเวลา 32 ปี

    Assured Guaranty ประกอบธุรกิจค้ำประกันพันธบัตรเทศบาลที่ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่าความคาดหวัง ซึ่งหากไม่มีการค้ำประกันแล้วย่อมจะหาผู้ซื้อได้ยาก จุดด้อยของ Assured Guaranty คือ อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่ามาตรฐานจนบรรดานักลงทุนต่างประเมินราคาหุ้นต่ำไว้กว่ามูลค่าทางบัญชีถึง 23% อย่างไรก็ตามบริษัทประกันแห่งนี้สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการใช้กระแสเงินสดที่มีอยู่มากมายซื้อหุ้นกลับคืนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ซึ่ง Lewis เรียกว่า “การเขมือบหุ้น” ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา Assured Guaranty สามารถลดจำนวนหุ้นลงได้ถึง 63% ส่งผลให้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นทะยานขึ้นได้ถึง 152%

    ธุรกิจค้ำประกันพันธบัตรพา Lewis เดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้น หลังจบการศึกษาจาก William & Mary College เขาเข้าทำงานที่ MBIA ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันพันธบัตรรายใหญ่ที่สุดในเวลานั้น หน้าที่งานของเขาทำให้ Lewis ได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่ New Orleans เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับหน่วยงานเทศบาลต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจาก Hurricane Katrina ไม่นานนัก MBIA กลับประสบปัญหาเสียเองเมื่อหุ้นของบริษัททรุดตัวลงถึง 97%

    Lewis วัย 46 ปี เวลานี้เอาตัวรอดจนสามารถคว้าปริญญาทางธุรกิจที่ Cornell ได้สำเร็จ เขาเข้าทำงานวิจัยหุ้นบริษัทขนาดเล็กให้กับบริษัทกองทุน American Century โดยเริ่มจาก Kansas City ในรัฐ Missouri ความสำเร็จของเขาทำให้ Lewis ได้งานที่ Royce Investment Partners ใน Manhattan เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน Royce Investment Partners มี Franklin Templeton เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ขณะที่ Charles Royce ผู้ก่อตั้งวัย 85 ปี ยุติบทบาทการบริหารเงินลงทุน แต่ยังคงทำหน้าที่ให้คำปรึกษา

    ไม่เพียงแต่หุ้นมูลค่ารายเล็กจะประสบภาวะซบเซาเท่านั้น แต่ Lewis พร้อมกับเพื่อนร่วมงานยังต้องเผชิญหน้ากับกองทุนดัชนี (Index Fund) ที่กำลังได้รับความนิยม Lewis ยอมรับว่า ในการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่นั้นยากที่จะเอาชนะการลงทุนเชิงรับได้ สำหรับ Apple ที่มีนักวิเคราะห์เฝ้าติดตามถึง 53 คน การสร้างผลตอบแทนชนะตลาดคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับนักลงทุนสายดัชนีเป็นอันขาด ด้วยหุ้นอย่าง Hingham ที่มีอยู่ในมือซึ่งไม่มีนักวิเคราะห์คนใดสนใจเลย Lewis กล่าวแทนผู้บริหารเงินลงทุนเชิงรุกในหุ้นขนาดเล็กว่า “พวกเรายังคงยืนหยัดอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย”


เรื่อง: William Baldwin เรียบเรียง: รัน-รัน ภาพ: Aleksandr Karnyukhin




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : JIA HAOJUN ดึงดูดเงินลงทุนได้เกือบ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการก่อตั้งระบบ Ai 'Deep Principle'

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine