Chris Roberts ใช้เวลาไปแล้ว 7 ปี สามารถระดมทุนได้เกือบ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินจากนักเล่นเกม เพื่อสร้าง Star Citizen เกมที่กำลังจะกลายเป็นวิดีโอเกมราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยมีการพัฒนามา ไม่นับรวมเงินสกุลดิจิทัล ซึ่งเป็นโครงการจากการระดมทุนแบบ crowdfunding ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าเกมที่ว่านี้ยังสร้างไม่เสร็จ และอาจไม่มีวันเสร็จ
เดือนตุลาคม ปี 2018 สาวกวิดีโอเกมกว่า 2,000 คน ยัดเยียดกันเข้าไปในศูนย์ศิลปะแสดงสด Long Center for Performing Arts ในเมือง Austin เพื่อขอชม Star Citizen เป็นขวัญตา Star Citizen เป็นเกมออนไลน์แบบหลายผู้เล่นที่สร้างโดย Chris Roberts นักออกแบบระดับตำนาน
คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ช่วยสมทบทุนในการพัฒนาเกมดังกล่าวเฉลี่ยคนละ 200 เหรียญ บางคนก็ทุ่มไปหลายพัน ทั้งนี้ เกมนี้เป็นเกมไซไฟแฟนตาซีที่ควรจะพัฒนาเสร็จตั้งแต่ปี 2014 แต่หลังจากผ่านไป 7 ปี ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเสร็จเมื่อไร โดยเฉพาะตัว Roberts เอง แม้จะผิดหวังกับความล่าช้า แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังให้กำลังใจ Roberts พวกเขาส่งเสียงอึกทึก ขณะที่ชายชาวอังกฤษวัย 50 ปี กระโดดขึ้นไปบนเวที และจอขนาดใหญ่ฉายภาพเกมนี้เวอร์ชั่นล่าสุด
เกมเดโมเปิดฉากแบบพื้นๆ แต่ไม่นานเสียงปรบมือเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อเกมเกิดสะดุด ขณะที่ลูกมือของ Roberts ช่วยกันซ่อมเกมให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
“สักวัน ผมอยากพูดว่า ‘คุณจะไม่ได้เห็นมันจนกว่ามันจะสวยงามน่าพอใจ’” Roberts กล่าวในเวลาต่อมาที่สตูดิโอของเขาใน Los Angeles “บ่อยครั้งที่เราจะเอาของมาโชว์แล้วบอกว่า ‘ตอนนี้มันยังหยาบอยู่’”
และที่หยาบจริงๆ ก็คือสถานะของเกมในตอนนี้ บริษัท Cloud Imperium Games ที่ Roberts ก่อตั้งขึ้นสามารถระดมเงิน 288 ล้านเหรียญเพื่อพัฒนาเกมที่จะเป็นการนำเกมพีซีไปผนวกรวมกับ Squadron 42 เกมต่อสู้ออฟไลน์หนึ่งผู้เล่น ในจำนวนนี้ 242 ล้านเหรียญเป็นเงินจากมิตรรักนักเกม 1.1 ล้านคนที่เคยทั้งซื้อของเล่นดิจิทัลอย่าง Kraken และใช้เงินเล่นเกมออนไลน์มาแล้ว ถ้าไม่นับรวมสกุลเงินดิจิทัล เกมนี้จะเป็นโครงการที่ใช้วิธีระดมทุนแบบ crowdfunding ที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์
เกมที่เล่นได้แล้วแต่ยังพัฒนาอยู่ในระยะอัลฟ่า (ไม่ถึงเบต้า) ถูกใช้เพื่อสร้างความหวังและให้คนเห็นภาพว่ามีการทำงานกันจริง Roberts เองก็คอยหล่อเลี้ยงบรรดาผู้เล่นเกมด้วยการสร้างกระแสอยู่ไม่ขาด รวมทั้งคำสัญญาเกี่ยวกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่มี “ระบบดาว 100 ระบบ” ในเกม แต่เงินส่วนใหญ่หมดไปแล้ว และเกมก็ยังพัฒนาไม่เสร็จ ระบบดาวร้อยระบบน่ะหรือ เขายังพัฒนาไม่เสร็จสักระบบเดียว จนถึงตอนนี้ที่พัฒนาเกือบสมบูรณ์แล้วมีเพียงโลก 2 ใบ ดวงจันทร์ 9 ดวง และดาวเคราะห์น้อย 1 ดวง
นี่ไม่ใช่การทุจริต Roberts กำลังพัฒนาเกมอยู่จริง แต่นี่คือความไร้สมรรถภาพและการบริหารจัดการผิดพลาดในระดับมหึมา เป็นขยะจากความเลินเล่อที่ได้เงินมาง่ายๆ จากการระดมทุนแบบ crowdfunding
ถ้าคุณไม่เล่นวิดีโอเกม คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Roberts แต่ในโลกของเครื่องเกมและคอนโทรลเลอร์ เขาไม่ต่างกับ Keith Richards ดาราเพลงร็อกสูงวัยที่ยังสามารถทำให้แฟนคลับควักกระเป๋าได้
Roberts เริ่มมีชื่อเสียงในช่วงต้นยุค 90 จาก Wing Commander ซีรีส์เกมสุดฮิตที่ได้ดารา Hollywood มาร่วมงาน และทำรายได้รวมกันกว่า 400 ล้านเหรียญ หลังจากความสำเร็จนั้น เขาเปิดสตูดิโอของตัวเองชื่อ Digital Anvil โดยมี Microsoft เป็นผู้ลงทุนให้ เขาใช้เวลาที่สตูดิโอนั้นหลายปีในการพัฒนา Freelancer เกมที่เป็นการสานต่อทางจิตวิญญาณของ Wing Commander และออกวางจำหน่ายช้ากว่ากำหนดหลายปี อีกทั้งยังห่างไกลความสำเร็จที่เกมก่อนหน้าของเขาทำได้ นอกจากนี้ Roberts ยังไปข้องแวะกับ Hollywood อยู่พักหนึ่ง ใช้เงินไปหลายสิบล้านกับภาพยนตร์ Wing Commander ที่เขากำกับเอง หนังลงเอยด้วยความล้มเหลวทั้งในด้านคำวิจารณ์และรายได้
Forbes พูดคุยกับคน 20 คนที่เคยทำงานที่ Cloud Imperium หลายคนกล่าวถึง Roberts ว่า เป็นคนชอบจัดการงานแบบหยุมหยิม และบริหารทรัพยากรได้ไม่ดี พวกเขายังบอกว่า สภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นไปอย่างยุ่งเหยิง
“เรามีแผน ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้บ้าบอขนาดนั้น” Roberts ยืนกราน
แต่สิ่งที่ Roberts ปลุกปั่นขึ้นมาก็ดูบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่า Star Citizen จะกลายเป็นวิดีโอเกมที่แพงที่สุดที่เคยมีการพัฒนากันมา และมันอาจไม่มีวันพัฒนาสำเร็จ Roberts ต้องคอยระดมทุนมาเพิ่มอยู่ไม่ขาดเพื่อหาเงินมาอุดหนุนการพัฒนาเกม และขณะที่พนักงาน 537 คนของ Cloud Imperium นั่งทำงานอยู่ในสำนักงาน 5 แห่งทั่วโลกนั้น เขาก็กำลังผลาญเงินอยู่ตลอดเวลา
จนถึงจุดหนึ่ง Roberts ก็เปิดเผยว่า เงินไปอยู่ที่ไหน เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเขาเปิดเผยงบการเงินของบริษัทในช่วงเวลาหลายปี แต่ไม่ได้บอกว่า ตัวเองหรือผู้บริหารของ Cloud Imperium ทำเงินแล้วเท่าไรจากโครงการนี้ ขณะที่ภรรยาและน้องชายของเขาต่างก็รับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่บริษัท
“ไม่มีคำไหนจะพรรณนา Star Citizen ได้ดีไปกว่าคำว่าบ้าอีกแล้ว” Jesse Schell นักพัฒนาเกมคนสำคัญกล่าว เขายังเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ด้วย “สิ่งนี้มันผิดปกติใน 5 มิติได้ ไม่มีที่ไหนที่เขาพัฒนาเกมกันนาน 7 ปี มันเป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่ปกติเอาเสียเลย”เส้นทางนักเขียนโค้ดผู้ทะเยอทะยาน
Roberts เติบโตที่เมือง Manchester ประเทศอังกฤษ เขาเป็นคนเขียนโค้ดฝีมือดีที่มีความทะเยอทะยาน ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น เขาผลิตเกมรวมทั้งเกมจำลองฟุตบอลสำหรับโครงการ BBC Micro ของสถานี BBC ก่อนจะย้ายไปอยู่ Austin ในปี 1987 ที่นั่นเขาได้พบกับ Richard Garriott ผู้สร้างวิดีโอเกมที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในชื่อ Lord British ในกลุ่มแฟนซีรีส์เกมดังอย่าง Ultima เมื่ออายุได้ 19 ปี Roberts ทำงานให้ Origin Systems ของ Garriott ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้สร้างสรรค์ Wing Commander เกมพีซีที่ออกสู่ตลาดในปี 1990 และประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
ในปี 1996 เขาออกจาก Origin และร่วมก่อตั้ง Digital Anvil เพื่อสร้างเกมโดยเป็นการจับมือกับ Microsoft ที่ถือหุ้นส่วนน้อยด้วย ภายหลังความสำเร็จของ Wing Commander เขาเป็นแม่งานผลิตเกมอีกเกมหนึ่งที่ Origin นั่นคือ Strike Commander
Roberts สานต่อไอเดียเกี่ยวกับจักรวาลที่หายใจและมีชีวิตเมื่อเขาเปิดตัวเกม Freelancer ในปี 1999 สองปีนับจากเริ่มพัฒนาในเวลาเดียวกัน Roberts สามารถกล่อม 20th Century Fox ให้สนับสนุนเงินทุน 30 ล้านเหรียญ เพื่อสร้าง Wing Commander เวอร์ชั่นภาพยนตร์ซึ่งขาดทุนเกือบ 20 ล้านเหรียญ
ไม่ว่าอย่างไร Microsoft เข้าบริหาร Digital Anvil เต็มตัวในปี 2001 และ Roberts ได้ลาออกไป อีก 2 ปีจากนั้น Freelancer จึงออกวางจำหน่าย เป็นแค่เกมเล็กๆ ต่างจากที่ได้วาดภาพไว้มากมายนัก
เมื่อเป็นอิสระจาก Microsoft Roberts ก็ผันตัวเองไปสู่ Hollywood เต็มตัว เขาทำงานด้านธุรกิจโดยร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Ascendant Pictures ซึ่งผลิตภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่ไม่มีใครจำได้อย่าง Outlander (ปี 2008) และ The Big White (ปี 2005) Roberts ได้มีชื่อเป็นผู้สร้างหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Ascendant ได้แก่ Lord of War แต่อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะล้มครืน Roberts จับมือกับ Ortwin Freyermuth ทนายความชาวเยอรมันเพื่อสร้างภาพยนตร์ พวกเขาจัดหาเงินทุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนที่ใช้ช่องทางทางภาษีในการหาเงินในเยอรมนีสำหรับภาพยนตร์ Hollywood นิตยสาร Variety รายงานว่า ในปี 2006 รัฐบาลเยอรมันได้สั่งให้ยุติการดำเนินการดังกล่าว
เมื่อแหล่งเงินจากเยอรมนีเหือดแห้งลง สถานการณ์ในเมืองมายาก็ดูอึมครึม Roberts ขาย Ascendant Pictures ในปี 2010 ให้กับบริษัทสร้างหนังเล็กๆ ชื่อ Bigfoot Entertainment คืนวันใน Hollywood ของ Roberts ปิดฉากลง ถึงเวลาแล้วที่จะหวนคืนสู่วงการเกม
หวนสู่วงการเกม
อีกไม่กี่ปีต่อมา Roberts ก่อตั้ง Cloud Imperium ร่วมกับภรรยาคนที่ 2 ของเขา Sandi Gardiner และ Freyermuth หุ้นส่วนทนายความจาก Hollywood เขากับ Gardiner คงความเป็นสามีภรรยาจนกระทั่งปี 2009 บันทึกของศาลระบุว่า การสมรสครั้งแรกของพวกเขาเป็นโมฆะ เมื่อปี 2005 Gardiner ดาราชาวออสเตรเลียวัย 43 ปี ผู้ที่ยังพยายามหาทางเกิดใน Hollywood ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Cloud Imperium และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการระดมทุนของบริษัท
การระดมทุนครั้งแรกในปี 2012 ประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ปรากฏว่าเงิน 6.2 ล้านเหรียญที่ได้มานั้นไม่พอจะป้อนความทะเยอทะยานอยากของ Roberts กระนั้น Roberts และ Gardiner ก็สามารถคิดแผนการอันชาญฉลาดในการหาทุนเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ นั่นคือ พวกเขาจะขายยานอวกาศหลายล้านลำเลยทีเดียว
เท่าที่ Forbes นับได้ Cloud Imperium จำหน่ายยานอวกาศรุ่นต่างๆ ไปแล้ว 135 ลำ ในราคาสูงถึงลำละ 3,000 เหรียญ ในจำนวนนี้มี 87 ลำที่สร้างเสร็จถึงระยะที่ผู้เล่นสามารถนำไปเล่นใน Star Citizen เวอร์ชั่นแรกๆ ที่เต็มไปด้วยบั๊ก บางลำในจำนวนที่เหลืออีก 48 ลำยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากไปกว่าแค่ภาพกราฟิกสวยๆ
เพื่อเป็นการต่อเงินที่ Gardiner หามาได้ Roberts นำนักลงทุนจากภายนอกเข้ามาเป็นครั้งแรก Cloud Imperium ได้รับเงิน 46 ล้านเหรียญจาก Clive Calder มหาเศรษฐีชาวแอฟริกาใต้ผู้อยู่เบื้องหลัง Jive Records และ Kieth ลูกชายของเขา เงินจำนวนนี้จะหมายถึงอะไรไปได้อีก นอกจากการตลาดที่เพิ่มมากขึ้น
ข้อมูลจากการเปิดเผยตามข้อเรียกร้องของบทบัญญัติเสรีภาพ ระบุว่า Federal Trade Commission ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ผู้ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากการรับการบริการ ได้รับเรื่องร้องเรียน 129 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Imperium รวมถึงข้อเรียกร้องให้มีการคืนเงินสูงถึง 24,000 เหรียญ
“เกมที่พวกเขาสัญญากับเรายังแทบเล่นไม่ได้ มันห่วยมาก แถมพัฒนาไปแค่ระยะ ‘อัลฟ่า’” ชาว Florida ผู้ที่อ้างว่าได้ใช้เงินไป 1,000 เหรียญ กล่าว “ผมไม่เอาด้วยแล้ว พวกเขาโกหกเรา”
“Star Citizen เป็นเกมที่เล่นได้แล้ว” Roberts ยืนกราน “มันมีฟังก์ชั่นและเนื้อหามากกว่าหลายๆ เกมที่พัฒนาเสร็จแล้วด้วยซ้ำ” เขากล่าว อย่างไรก็ตาม มีผู้เชื่อมั่นอยู่มากมาย “ผมเชื่อสุดใจ” Dan Paulsen ซึ่งได้ลงเงินกับเกมนี้ในปี 2016 กล่าว “ถ้ามันล่าช้าก็คงมีเหตุผลที่ดี เพราะพวกเขาต้องการให้มันเป็นโครงการที่ออกมาดี”
ปีที่แล้ว Cloud Imperium เผยตัวเลขสถานะการเงินที่แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดคือ เงินเดือนในแต่ละปีที่คิดเป็นเงิน 30 ล้านเหรียญ แต่เอกสารไม่ได้ให้รายละเอียดว่า Roberts และ Gardiner รับเงินคนละเท่าไรแล้วตลอดหลายปีมานี้ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2018 ทรัสต์ตระกูล Roberts ที่มี Gardiner เป็นทรัสตีได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งมูลค่า 4.7 ล้านเหรียญในย่าน Pacific Palisades ของ L.A. ก่อนหน้านั้น บ้านที่ Roberts อาศัยอยู่เป็นบ้านเช่า Roberts บอกว่า เขาขายบ้านที่ Hollywood ในปี 2007 เพราะเขาอยากไปอยู่ใกล้ทะเล จากนั้นเขาหันไปเช่าบ้านเป็นเวลา 10 ปี เพราะไม่แน่ใจว่าจะอยากอยู่ L.A. ในระยะยาวหรือไม่
“ผมรู้ ใครๆ ก็คิดว่าเราแค่มีเงิน 200 ล้านเหรียญในธนาคารแล้วเราก็กระโจนเข้าใส่เหมือน Scrooge McDuck หรืออะไรสักอย่าง” เขากล่าวพร้อมทั้งชี้ว่า มีผู้เล่นหลายคนที่มองว่าเกมนี้เป็นงานอดิเรกที่พวกเขาใช้เงินไปกับมันเหมือนไปตีกอล์ฟ “ผมรู้ แต่ว่าเวลามีคนมาหาผม ผมบอกว่า ‘นี่...คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินไปกับเกมนี้มากกว่า 45 เหรียญหรอก’”
อ่านเพิ่มเติม เรื่อง: Matt Perez และ Nathan Vardi เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรมคลิกอ่านฉบับเต็ม “Star Citizen กลับไม่ได้ แต่ (ยัง) ไปไม่ถึงดวงดาว” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine