มือเก๋าแห่งสตาร์ทอัพค้าปลีก - Forbes Thailand

มือเก๋าแห่งสตาร์ทอัพค้าปลีก

อยากเรียนรู้เทรนด์ค้าปลีกแห่งอนาคต? ไม่ใช่เรื่องยากแค่ลองใช้เวลาพูดคุยกับ Kristen Green ผู้ก่อตั้ง Forerunner Ventures ที่ยืนหยัดและไม่ยอมแพ้

ห้องทำงานของ Kristen Green ในสำนักงาน Forerunner Ventures มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากบริษัทในพอร์ทการลงทุนของเธอที่ล้วนมีศักยภาพในการเติบโต วางอยู่ตามมุมต่างๆ บนโต๊ะทำงาน ด้านหลังอาคารสำนักงานของ Green มีเสียงก่อสร้างดังครึกโครม เธอกำลังขยายพื้นที่สำนักงานของ Forerunner ซึ่งตั้งอยู่บริเวณย่าน Civic Center ใน San Francisco เพื่อรองรับพนักงานใหม่เพิ่มเติม ธุรกิจร่วมทุน (VC) ซึ่งมุ่งลงทุนในธุรกิจระยะแรกเริ่มที่เธอก่อตั้งด้วยน้ำพักน้ำแรงเมื่อปี 2003 กำลังผ่านพบช่วงปีที่ดีที่สุด เมื่อเดือนมิถุนายน 2016 Forerunner ดำเนินการปิดกองทุนขนาด 122 ล้านเหรียญซึ่งเป็นกองทุนกองที่ 3 และมีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท เมื่อสิ้นสุดการลงทุนกองทุนนี้เติบโตจนมีมูลค่า 242 ล้านเหรียญ ต่อมาในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2016 กองทุนได้ขายการลงทุนในบริษัท 2 แห่งที่เข้าไปลงทุนตั้งแต่ระยะแรกเริ่มธุรกิจ นั่นคือ Jet.com เว็บไซต์ค้าปลีกสินค้าออนไลน์และ Dollar Shave Club ผู้จำหน่ายและจัดส่งผลิตภัณฑ์โกนหนวดถึงประตูบ้าน การขายการลงทุนในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ 2 ครั้งนี้มีมูลค่ามหาศาลและสั่นสะเทือนวงการในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Forerunner เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เข้าลงทุนในบริษัททั้ง 2 แห่งการซื้อขายกิจการ Dollar Shave Club มูลค่า 1 พันล้านเหรียญนี้เองที่ทำให้ Green แจ้งเกิดได้รับความสนใจจากที่เคยเป็นม้านอกสายตา และเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักลงทุนมากความสามารถที่เชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก Green วัย 45 ปีคือผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการในโลกธุรกิจ VC ซึ่งข้อมูลจาก Crunchbase ระบุว่ามีบริษัท VC เพียง 7% เท่านั้นที่มีผู้หญิงกุมบังเหียน บริษัทของเธอเป็นหนึ่งในบริษัท VC เพียงไม่กี่แห่งที่กองทัพทีมงานเป็นผู้หญิงล้วน ก่อนก่อตั้ง Forerunner มีผ่านประสบการณ์ในบริษัท VC ยักษ์ใหญ่ Midas List ของ Forbes ทั้งยังเครื่องรับตำแหน่งผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น Gymboree และ Safeway ปี 1998 Green เริ่มงานกับ Montgomery Securities ในตำแหน่งนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีกและทำงานอยู่นาน 5 ปี เธอ ลาออกจาก Montgomery ในปี 2003 ออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ในช่วงเวลา 3 ปีเธอเข้าร่วมประชุมแทบนับครั้งไม่ถ้วน สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและทำแผนวิเคราะห์โครงการต่างๆ หลังจากนั้นไม่นานเธอระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนโดยรวบรวมเงินได้ทั้งหมด 25,000 เหรียญจากคนใกล้ชิดและเพื่อนๆ หนึ่งในนั้นรวมถึง Sandy Colen ซึ่งในอดีตเป็นผู้คอยแนะนำให้คำปรึกษากับเธอและเคยเสนอตำแหน่งงานให้เธอทำที่กองทุนป้องกันความเสี่ยง Apex Capital ของเขาในปี 1997 แต่เธอบอกปฏิเสธ Colen ตอบรับในทุกแผนการลงทุนที่ Green นำเสนอ ในอีก 3 ปีถัดมา Green ใช้รูปแบบการระดมทุนจากเครือข่ายคนรู้จักเพื่อเข้าลงทุนในบริษัทกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 7 แห่งช่วงที่ธุรกิจเพิ่งเริ่มก่อตั้ง บริษัทเหล่านี้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายตั้งแต่ครีมปกป้องรอยแตกลายจากการตั้งครรภ์ แต่การลงทุนครั้งนี้ทำให้ Green และนักลงทุนของเธอสูญเงิน 10 ล้านเหรียญเมื่อถูกบังคับขายหุ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินปี 2008 ความล้มเหลวในการลงทุนที่ Nau เป็นเรื่องที่สุดช็อค “ฉันกังวลอย่างมากว่าเส้นทางอาชีพของฉันจะสิ้นสุดลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นอย่างจริงจังด้วยซ้ำ” เธอกล่าว “ฉันตกอยู่ในภาวะสับสนอย่างมาก” ดังนั้น Green จึงชะลอการระดมทุนและเว้นช่วงไปมีลูกขณะทำงานชั่วคราวเป็นที่ปรึกษาให้กับกองทุนเพื่อการลงทุนส่วนบุคคล TSG Consumer Partners เมื่อถึงช่วงต้นปี 2010 Green ได้พบกับนักศึกษา M.B.A. ที่ชาญฉลาดสองกลุ่ม พวกเขากำลังมองหานักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในระยะเริ่มต้นสำหรับ 2 ธุรกิจเกิดใหม่ของพวกเขา ได้แก่ Birchbox ธุรกิจจัดส่งเครื่องสำอางขนาดทดลองให้กับสมาชิกและ Warby Parker ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกรอบแว่นตา ทั้งสองธุรกิจเป็นแบรนด์ที่เกิดในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่และเจาะถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงโดยมุ่งใช้ประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ทั้งสองธุรกิจเล็งเห็นถึงกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ และทั้งสองธุรกิจมีการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลอันเป็นหัวใจสำคัญ
Birchbox ธุรกิจจัดส่งเครื่องสำอางขนาดทดลองบางส่วน
ในปี 2010 Green โน้มน้าว Colen ให้ควักกระเป๋าลงทุน 5 ล้านเหรียญได้สำเร็จ โดยกองทุนนี้เป็นกองทุนแรกของ Forerunner และได้สนับสนุนเงินทุนให้กับบริษัทชื่อดังหลายแห่ง เช่น Bonobos ธุรกิจเสื้อผ้าสำหรับบุรุษหน้าใหม่ Green ระดมเงินทุนเพิ่มเติม 40 ล้านเหรียญจากนักลงทุนสถาบันเมื่อปี 2012 และอีก 75 ล้านเหรียญสำหรับกองทุนใหม่ในปี 2014 เมื่อกลางปีที่ผ่านมากองทุนขนาด 122 ล้านเหรียญเพิ่งปิดกองทุนไปซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนมีการประกาศซื้อขายกิจการ Dollar Shave Club เพียงไม่นานโครงการที่ Forerunner เข้าลงทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับความสำเร็จที่ได้รับ Green กล่าวว่าทีมงานของเธอพิจารณาธุรกิจเกิดใหม่กว่า 150 แห่งต่อเดือน ในปี 2016 พวกเขาได้ตัดสินใจเข้าลงทุนในบริษัทเพียง 3 แห่งซึ่งรวมถึง Ritual ผู้ให้บริการจัดส่งวิตามินสำหรับผู้หญิงแบบสมัครสมาชิก การลงทุนเหล่านี้ทำให้ยอดรวมธุรกิจที่บริษัทเข้าลงทุนเพิ่มมาอยู่ที่ 55 แห่งและมีมูลค่ารวมกัน 72.7 ล้านเหรียญ สำหรับ Green บริษัทอย่าง Glossier คือต้นแบบแห่งบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสู่อนาคต จากการเป็นแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มุ่งเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ผ่าน Instagram Emily Weissผู้ก่อตั้งบริษัทได้ปลุกปั้นธุรกิจโดยใช้ข้อมูลและแรงหนุนจาก Into the Gloss บล็อกเกี่ยวกับความสวยความงามของเธอ Glossier ไม่มีหน้าร้านโดยมีเพียงร้านชั่วคราวที่เปิดตามงานในโอกาสพิเศษหรือร่วมกับร้านค้าอื่นๆ เซรั่มบำรุงผิว ดินสอเขียนคิ้วแบบเจลและรองพื้นในบรรจุภัณฑ์สวยงามน่าใช้จะมีจัดจำหน่ายเฉพาะทางออนไลน์ผ่านการทำการตลาดที่รองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้และจากนั้นข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังฝ่ายการผลิต ส่วนบรรดาลูกค้าสมาชิกต่างพากันแชร์ภาพผลิตภัณฑ์บน Instagram และ Snapchat กันอย่างเอาจริงเอาจัง “มันไม่ใช่แค่สิ่งที่ธุรกิจค้าแต่ละแห่งนำเสนอบนโลกออนไลน์เหมือนกับเป็นแคตตาล็อกสินค้ารูปแบบหนึ่ง” Green กล่าว “แต่ยังมีส่วนผสมที่แตกต่างอีกมากมายที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ”  
คลิกอ่านฉบับเต็ม "มือเก๋าแห่งสตาร์ทอัพค้าปลีก" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560