Garett Lord เชื่อมต่องานให้บัณฑิตไร้ชื่อผ่านแพลตฟอร์ม Handshake - Forbes Thailand

Garett Lord เชื่อมต่องานให้บัณฑิตไร้ชื่อผ่านแพลตฟอร์ม Handshake

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Jun 2023 | 10:45 AM
READ 2216

​ลำพังการจบการศึกษาออกมาหมาดๆ ก็หางานยากพออยู่แล้ว ยิ่งหากเป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ หรือไม่ได้มีพ่อแม่ที่มีเส้นสายก็ยิ่งยากทวีคูณ Garett Lord จึงสร้าง Handshake (เหมือน LinkedIn สำหรับนักศึกษา) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเหลือ แพลตฟอร์มดังกล่าวระดมทุนได้กว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีโรงเรียนเข้าร่วมเป็นสมาชิก 1,400 แห่ง รวมจำนวนนักเรียน 12 ล้านคน แต่แพลตฟอร์มแห่งนี้จะยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่ หากบริษัทต่างๆ เริ่มปลดพนักงานแทนการจ้างงาน


    Garrett Lord วัย 22 ปีในเวลานั้นทำความฝันที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง เขาไม่มีความได้เปรียบจากการเข้าศึกษาในสถาบันระดับหัวกะทิอย่าง Stanford หรือ MIT ไม่มีเครือข่ายที่ได้มาแต่กำเนิดจากพ่อแม่เศรษฐี เขาเพียงโทรศัพท์สายตรง (จริงๆ คืออีเมล) เพื่อขอเข้าร่วมฝึกงานช่วงซัมเมอร์ที่ Palantir ซึ่งในตอนนั้นเป็นธุรกิจสตาร์ตอัพด้านเหมืองข้อมูลที่กำลังมาแรงที่สุดแห่งหนึ่งของ Silicon Valley

    การได้ทำงานในบริษัทที่ได้รับการสนับสุนจาก CIA สำหรับนักศึกษาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก Michigan Technological University ซึ่งตั้งอยู่ที่ Houghton เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งใน Upper Peninsula เป็นใบเบิกทางสู่โอกาสอันยิ่งใหญ่ ต่อยอดสู่งานดีๆ ในบริษัทยูนิคอร์นด้านซอฟต์แวร์ที่มีธุรกิจร่วมลงทุนเป็นผู้สนับสนุน เงินเดือนสูงๆ และผลตอบแทนในรูปแบบหุ้นได้อย่างแน่แท้

    แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เดินทางมาถึงสำนักงานของ Palantir ที่ Washington, D.C. เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2012 Lord หนุ่มจาก Midwest ส่วนสูง 6 ฟุต 1 นิ้ว กลับสงสัยในความสามารถของตนเองอยู่ไม่น้อย นักศึกษาฝึกงานอีก 15 คนดูเหมือนจะมาจากโลกคนละใบ พวกเขาเรียนที่สถาบัน “แบรนด์เนม” และใช้เวลาส่วนใหญ่พูดถึงโครงการวิจัยระดับสูง หรือไม่ก็คุยโม้โปรแกรมท่องเที่ยวยุโรปในช่วงปิดเทอมที่กำลังจะมาถึง ส่วน Lord เคยเดินทางออกนอกสหรัฐฯ เพียงครั้งเดียวสมัยวัยแรกรุ่นเพื่อชมการแข่งขันฮอกกี้ที่แคนาดา ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง 

    Lord วัย 33 ปีในเวลานี้เล่าว่า “ผมจำได้ว่าโทรศัพท์ไปหาพ่อ พ่อบอกว่า "ลูกอาจจะไม่ได้ฉลาดไปกว่าพวกเขา แต่พ่อรู้อะไรอย่างหนึ่ง ลูกจะต้องไม่ทิ้งโอกาสนี้ ลูกจะต้องพยายามให้มากกว่าพวกเขา” Lord ตัดสินใจเดินหน้าชนเรียบ เขาคว้ารางวัลแฮกกาธอนประจำปีของบริษัทจนได้รับการยอมรับจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ Palantir ซึ่ง Lord เล่าว่า ผู้ใหญ่ที่นั่นถึงกับตกใจไปเหมือนกันที่บุคลากรชาญฉลาดอัจฉริยะขนาดนี้มาจากโรงเรียนที่น้อยคนนักจะรู้จัก 

    ประกายไอเดียสว่างวาบขึ้นตรงนี้ จะเป็นอย่างไรหาก Lord สามารถสร้างซอฟต์แวร์เพื่อเชื่อมโยงบริษัทที่กระหายหาบุคลากรความสามารถสูงเข้ากับนักศึกษามากมายมหาศาลทั่วประเทศที่มาจากสถาบันโนเนม เช่น Michigan Tech “นักศึกษาเก่งๆ มีอยู่ทั่วประเทศ บ้านเกิดของคุณไม่ควรจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จด้านอาชีพการงานหลังเรียนจบ” Lord กล่าว “แต่ที่ Michigan Tech ไม่เคยมีใครมองเห็นเราเลย”

    เมื่อกลับไปเรียนในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น Lord กับเพื่อนวิชาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อีก 2 คนคือ Ben Christensen และ Scott Ringwelski จึงลงมือทำงาน นักศึกษาทั้ง 3 คนเห็นโอกาสจากแพลตฟอร์มเครือข่ายที่สามารถใช้งานได้ง่ายและนำมาใช้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกเพื่อเชื่อมโยงนักศึกษา มหาวิทยาลัย และนายจ้างเข้าด้วยกันในรูปแบบเสมือนจริง 2 ปีต่อมาพวกเขาเปิดตัว Handshake ขึ้นในปี 2014 และสามารถเข้าไปติดทำเนียบ Forbes 30 Under 30 ได้ในปี 2017 


จากซ้าย: Ben Christensen, Scott Ringwelski และ Garrett Lord ในปี 2014


    ปัจจุบันนักศึกษาเกือบ 12 ล้านคน (หลายคนมีประสบการณ์การทำงานน้อยมากหรือไม่มีเลย) จากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 1,400 แห่งทั่วสหรัฐฯ ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวในการค้นหาประกาศรับสมัครงานจากบริษัท 750,000 แห่ง ส่งข้อความถึงเจ้าหน้าที่สรรหาและศิษย์เก่า เข้าร่วมมหกรรมการจ้างงานในรูปแบบเสมือนจริงและเข้ารับการสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอ โดยคิดค่าธรรมเนียมสถาบันการศึกษาเฉลี่ยตกปีละ 8,000 เหรียญ แต่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับนักศึกษา 

    นอกจากนี้ ยังมีบริษัท 1,110 แห่งที่ใช้บริการแพลตฟอร์มในรูปแบบพรีเมียมและจ่ายค่าบริการสูงถึงปีละ 15,000 เหรียญจนถึงหลายล้านเหรียญเลยทีเดียว บริษัทเหล่านี้สามารถส่งประกาศรับสมัครงานไปยังผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้โดยพิจารณาจากที่อยู่ เพศ สถานะของกลุ่มสมาชิกเล็กๆ วิชาเอก เกรดเฉลี่ย ความสามารถพิเศษ (เช่นการโคดดิ้งภาษา JavaScript หรือ Python) และสถาบันการศึกษา เป็นต้น จึงสามารถทำการตลาดเจาะกลุ่มวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยที่ในอดีตเคยเป็นของกลุ่มคนผิวสี (HBCU) ได้ อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มอนุญาตให้นายจ้างเฟ้นหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติโดยใช้หมวดหมู่ที่กล่าวมาได้ทั้งหมด ยกเว้นเพศและเชื้อชาติ 

    การเติบโตของ Handshake ได้รับแรงผลักดันจากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสู่กระบวนการจ้างงานผ่านช่องทางออนไลน์และการทำงานจากที่บ้านในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ย้อนกลับไปในปี 2017 แพลตฟอร์มดังกล่าวมีนักศึกษาเข้าเป็นสมาชิกเพียง 1.6 ล้านคน ก่อนจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นถึง 600% จนกระทั่งชื่อ “Handshake” กลายเป็นคำกริยาใหม่ในกลุ่มนักศึกษา Lord เผยว่า Handshake มีรายได้แตะหลัก 120 ล้านเหรียญในปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก 75 ล้านเหรียญในปี 2021 และ 3 ล้านเหรียญเมื่อ 5 ปีก่อน 

    แม้ Handshake จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ แต่พวกเขาระดมทุนได้ 200 ล้านเหรียญเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้วจากบรรดานักลงทุนซึ่งรวมถึง Lightspeed, Kleiner Perkins และ Coatue Management จากรอบลงทุนดังกล่าวทำให้ Handshake มีเงินลงทุนรวมสูงกว่า 430 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 พันล้านเหรียญ Forbes ประเมินว่า Lord และผู้ร่วมก่อตั้งยังคงเป็นเจ้าของอยู่ในสัดส่วน 15% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 525 ล้านเหรียญตอนที่ตลาดเทคโนโลยีแตะระดับสูงสุดในฤดูหนาวปีที่แล้ว

    Handshake ต้องเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงจากยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจสรรหาพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น LinkedIn, Indeed และ ZipRecruiter แต่นั่นเป็นเพียงฝั่งของคนหางานเท่านั้น ยังมีสตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น Symplicity จาก San Francisco ที่มีเป้าหมายเป็นศูนย์แนะแนวอาชีพประจำสถาบันการศึกษาต่างๆ อย่างไรก็ตาม Lord เชื่อว่าเขาสร้างความได้เปรียบด้วยการนำวิธีการใหม่ๆ มาเชื่อมโยงกับฝ่ายต่างๆ ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ซึ่งก็อาจจะจริง แต่อย่าลืมว่า Microsoft บริษัทแม่ของ LinkedIn ที่มีมูลค่าตลาดปัจจุบัน 1.8 ล้านล้านเหรียญเป็นอีก 1 แห่งที่สามารถคว้าทุกอย่างมาครอบครองได้โดยไม่ยากเย็น

    Lord บอกว่า เขาไม่ได้กังวลอะไร เพราะเชื่อว่าบรรดานายจ้างยังคงต้องการและจำเป็นต้องมีคนรุ่นใหม่มากความสามารถ ด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่า และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่า นอกจากนี้ Handshake ยังไม่ได้มุ่งเป้าหมายที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง หากยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีสะดุดล้มก็ยังมีงานในธุรกิจน้ำมันและก๊าซ “สิ่งที่เราได้เห็นจากการปรับลดงบประมาณในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 รอบแรก ซึ่งบริษัทต่างรู้สึกหวาดกลัวกันนั้นก็คือ สหรัฐฯ ยังคงมีความต้องการบุคลากรสายเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมคิดว่าเป็นฉนวนป้องกันความเสี่ยงให้กับบริษัทของเราในเวลานี้” Lord กล่าว เขารีบอธิบายเพิ่มเติมว่า Handshake ยังคงมีเงินร่วมลงทุนฝากธนาคารจำนวน 200 ล้านเหรียญ ซึ่งน่าจะช่วยพาฝ่าฟันสภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ 

    Lord ใช้ชีวิตวัยเด็กในเมือง Bloomfield Hills รัฐ Michigan ซึ่งเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวขยายขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงพี่น้อง 1 คนและลูกพี่ลูกน้องอีก 8 คน คุณพ่อของเขาอยู่ในธุรกิจก่อสร้าง ส่วนคุณแม่ทำงานเป็นผู้ช่วยฝ่ายธุรการ แม้ว่า Lord จะมีความสามารถด้านสกีและกีฬาอื่นๆ แต่เขาบรรยายตัวเองว่าเป็นเด็ก “เนิร์ด” ที่ชอบคอมพิวเตอร์เอามากๆ สมัยยังเป็นวัยรุ่น เขาใฝ่ฝันว่าจะได้เปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง หรือเติบโตขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศเหมือนกับเพื่อนที่ประสบความสำเร็จของคุณลุง 

    Lord คิดว่าตัวเองจะต้องจ่ายค่าเทอมเองอยู่แล้ว หลังจบมัธยมปลายเขาจึงอยู่บ้านเป็นเวลา 2 ปีและเข้าเรียนที่วิทยาลัยใกล้ๆ อย่าง Oakland Community College แบบพาร์ตไทม์ พร้อมกับทำงานซ่อมคอมพิวเตอร์และสอนให้แม่ๆ ในชุมชนรู้จักวิธีใช้งาน iMovie ต่อมาในปี 2010 เขาเข้าศึกษาที่ Michigan Tech และได้เป็นเพื่อนกับรุ่นพี่คนหนึ่งขณะกำลังคุ้ยถังขยะหาชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เก่าๆ เพื่อนใหม่ประทับใจความสามารถเฉพาะทางของ Lord เป็นอย่างมาก ถึงกับช่วยให้เขาได้ทุนการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ที่สถาบัน Los Alamos National Laboratory ใน New Mexico ช่วงฤดูร้อนปีนั้น

    ทุนการศึกษาดังกล่าวกลายเป็นประวัติในเรซูเม่ ประกอบกับความหัวรั้นของตัวเอง ทำให้ Lord ได้เข้าฝึกงานที่ Palantir ในปี 2012 ซึ่งไม่นานเขาก็ได้รับการยอมรับนับถือ “ผมไม่ได้รู้จักกับคนที่ใช่” Lord กล่าว “การสำรวจเส้นทางอาชีพส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนที่รู้จัก สิ่งที่รู้ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว”

    การสร้าง Handshake เป็นเรื่องง่าย แต่การขายในช่วงแรกกลับไม่ง่ายเลย Lord ปฏิเสธโอกาสงานที่ Palantir และลาออกจากวิทยาลัยโดยขาดเพียงไม่กี่หน่วยกิตก็จะได้ปริญญาเพื่อมุ่งทำบริษัทใหม่ ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 3 คนใช้เวลา 6 เดือนในปี 2013 อาศัยบนรถ Ford Focus ขับตระเวนไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ขอให้ทดลองซอฟต์แวร์ พวกเขาตั้งฐานในลานจอดรถของ McDonald’s และอาบน้ำตามสระว่ายน้ำมหาวิทยาลัย 

    อย่างไรก็ตามการชักชวนนายจ้างกลับง่ายกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น เพราะบรรดาผู้ก่อตั้งเสนอซอฟต์แวร์ให้ทดลองใช้โดยไม่มีค่าบริการ เป็นการเดิมพันว่าจะสามารถต่อยอดสู่การเสนอขายรุ่นพรีเมียมได้ง่ายขึ้นมากในเวลาต่อมา บริษัทแรกๆ ที่ทดลองใช้ Handshake มีทั้ง Procter & Gamble, IBM, Box และMastercard

    ไม่เกินปี 2017 กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งสามารถระดมทุนจากนักลงทุนมาได้ 30 ล้านเหรียญ และย้ายฐานการดำเนินงานสู่บ้านขนาด 7 ห้องนอนที่ Palo Alto ใน California ซึ่งพนักงานราว 20 คนใช้ชีวิตอยู่และทำงานด้านเทคโนโลยีด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ในปีเดียวกันนั้นเอง Handshake รายงานว่า พวกเขามีรายได้ 3 ล้านเหรียญ  

    นับแต่นั้นมายอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้ามีความตื่นตัวและยอมจ่ายเงินมากขึ้น Jonathan Stull ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเผยว่า ในแต่ละปีลูกค้าองค์กรประเภทจ่ายค่าธรรมเนียมราว 30% จะซื้อบริการเสริมด้วย เช่น ศูนย์ควบคุมโรคของรัฐบาลกลาง (Centers for Disease Control) ตกลงจ่ายค่าธรรมเนียมพิเศษเพื่อให้พนักงานนอกแผนกทรัพยากรบุคคลสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มและว่าจ้างบุคลกรที่มีความสามารถมาร่วมงานได้เช่นกัน 

    การระบาดของโรคโควิด-19 คือบททดสอบใหญ่บทแรกของ Handshake และเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่สุดด้วย ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 อัตราการว่างงานในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปีเพิ่มขึ้นจาก 4.2% แตะระดับสูงสุดถึง 20.4% ในเดือนมิถุนายนปีนั้น “เราโยนแผนผลิตภัณฑ์ทิ้งเลย และพยายามหาทางสร้างเครื่องมือเสมือนจริง” Lord กล่าว “เรามีโอกาสช่วยให้นักศึกษาที่เรียนจบในปีนั้นไม่ต้องกลายเป็นนักศึกษาตกหล่นได้อย่างแท้จริง” 

    ไม่นานนักบริษัทก็เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สถาบันการศึกษาสามารถจัดมหกรรมการจ้างงานเสมือนจริงได้ นายจ้างสามารถใช้ซอฟต์แวร์ของ Handshake จัดประชุมกลุ่มระยะเวลา 30 นาที หรือพบปะกับนักศึกษาแบบตัวต่อตัวเป็นเวลา 10 นาทีได้อย่างง่ายๆ ในปี 2021 Handshake มีส่วนช่วยในการจัดมหกรรมการจ้างงานไปได้เกือบ 6,000 งาน โดย 3 ใน 4 เป็นการจัดงานในรูปแบบเสมือนจริง ทั้งหมดมีโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่ง ในปี 2019 Handshake ได้สถาบันการศึกษาเข้ามาเป็นสมาชิก 954 แห่ง ก่อนจะเพิ่มเป็น 1,399 แห่งช่วงปลายปี 2021 

    แพลตฟอร์มของ Handshake ยังมีสมาชิกเป็นมหาวิทยาลัยของคนผิวสีในอดีตอีก 66 แห่งจากทั้งหมด 107 ในประเทศ และสถาบันการศึกษาสำหรับชุมชนด้อยโอกาสอีก 280 แห่ง Handshake ยังอ้างด้วยว่า พวกเขาช่วยให้นายจ้างประสบความสำเร็จตามเป้าหมายการจ้างงานที่หลากหลายตามที่สัญญาไว้ท่ามกลางกระแส #MeToo และการประท้วงคดี George Floyd แพลตฟอร์ม Handshake มีผู้ใช้งานเกือบ 12 ล้านคน โดย 13% ระบุว่า เป็นคนผิวสี 12% มีเชื้อสายละติน 15% เป็นคนเอเชีย และ 59% เป็นผู้หญิง 

    “Handshake มีข้อมูลเป็นจำนวนมาก จากข้อมูลนี้ทำให้นายจ้างสามารถเฟ้นหาบุคลากรฝีมือดีได้ นำไปสู่การหารือเรื่องความหลากหลายกับบรรดาผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายสรรหา” Renee Davis ซึ่งทำหน้าที่สรรหานักศึกษาให้กับแอปพลิเคชันสอนภาษา Duolingo กล่าว

    อย่างไรก็ตามมีอย่างน้อย 1 คนที่กลับคิดว่า Handshake อาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง “พวกเขาเผยแพร่ตำแหน่งงาน ปัญหาก็คือเป็นการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต” Ryan Craig กรรมการผู้จัดการ Achieve Partners บริษัทเอกชนนอกตลาดที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านการฝึกงานสายเทคโนโลยีอย่าง Multiverse และแพลตฟอร์มการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงอย่าง Riipen กล่าว “Handshake เป็นเพียงแพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลจากแหล่งอื่นเพื่อให้ผู้ใช้มองเห็นประกาศรับสมัครงาน การจ้างงานในกลุ่มนักศึกษาจึงจะยิ่งมีการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งผมคิดว่ากลับยิ่งน่าจะทำให้การจ้างงานจะต้องพิจารณาจากประวัติความเป็นมาและใบปริญญามากขึ้น”

    เวลานี้ Lord ตั้งเป้าหมายขยายกิจการไปยังต่างประเทศแล้ว เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา Handshake เข้าซื้อ Talentspace บริษัทสรรหาพนักงานในรูปแบบเสมือนจริงจากเยอรมนีมาในราคา 10 ล้านเหรียญ นับเป็นการเข้าซื้อกิจการนอกสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ นั้นบริษัทกำลังสร้าง AI ของตนเองสำหรับแนะนำหลักสูตรการศึกษาและทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยวิเคราะห์จากนายจ้างรายใหญ่บนแพลตฟอร์ม เช่น หากนักศึกษาหางานเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานที่จ่ายค่าจ้างสูงเป็นจำนวนมาก ในทางทฤษฎีแล้ว Handshake จะสามารถส่งการแจ้งเตือนหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ทั้งในมหาวิทยาลัยของผู้สมัคร หรือหลักสูตรโค้ดดิ้งนอกมหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มโอกาสที่ผู้สมัครจะได้รับการจ้างงาน

    Lord บอกว่า หาก LinkedIn และคนอื่นๆ จะสนแต่อดีตก็ปล่อยไป Handshake เหมือนกับนักศึกษามากมายบนแพลตฟอร์ม พวกเขาคิดถึงอนาคต Lord นั่งพิงหลังบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องประชุมประจำสำนักงานใหญ่ตกแต่งแบบลอฟต์ของ Handshake ที่ San Francisco เขาอาศัยอยู่ในเมือง New York City กับ “ห้องรับรองของสนามบินต่างๆ ในสหรัฐฯ” Lord บอกว่า การเดินทางของ Handshake เริ่มต้นจาก “ความไม่ปังและไม่ดัง” จนกลายเป็นคนสำคัญของมหาวิทยาลัย “โอกาสที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับนักศึกษาและพนักงานรุ่นเยาว์มีอยู่ตรงนั้น ซึ่งเรารู้สึกตื่นเต้นมาก” Lord กล่าว “และเราก็มีทุนมากพอ”


เรื่อง: Kristin Stoller เรียบเรียง: รัน-รัน ภาพ: Michael Prince



อ่านเพิ่มเติม: Robert Wilder กับกระแสหวือหวาตั้งกองทุน "หุ้นพลังงานสะอาด"

คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine