บิลค้างจ่าย สัญญาชุ่ยๆ และการเข้าพบ Jensen Huang ที่จบด้วยความพินาศคือตอร์ปิโดที่ Emad Mostaque ผู้ก่อตั้ง Stability ใช้จมสตาร์ทอัพพันล้านของตัวเอง
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Emad Mostaque ผู้ก่อตั้ง Stability AI ขึ้นเวทีที่ Terranea Resort ในเมือง Palos Verdes รัฐ California ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องภาพนักปราชญ์ Aristotle ซึ่งสร้างด้วย AI กล่าวแนะนำตัวให้เขาโดยประกาศว่า เขาคือ “Prometheus แห่งยุคใหม่” ผู้มี “ไหวพริบของ Athena และวิสัยทัศน์ของ Daedalus”
Aristotle เก๊อวดอ้างสรรพคุณไว้ว่า “ภายใต้การนำของเขาคนนี้ AI จะกลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งดุจ Hercules เพื่อกำราบอสรพิษคู่นามว่าโรคาและพยาธิ อีกทั้งกิ่งมะกอกอายุวัฒนะก็จักเจริญงอกงาม”
แต่เบื้องหลังคำเอออวยอันสวยหรูเกี่ยวกับ Mostaque นั้นมีความจริงอันร้ายกาจที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว Stability ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพด้าน AI ที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดกำลังกระเสือกกระสนหนีตาย บริษัทนี้เงินร่อยหรอมาหลายเดือนแล้วและ Mostaque ก็ไม่สามารถระดมทุนเพิ่มได้มากพอ บริษัทผิดนัดชำระหนี้หลายงวดกับ Amazon ซึ่งเป็นเจ้าของบริการระบบคลาวด์ที่เป็นรากฐานให้ผลิตภัณฑ์หลักของ Stability ทีมนักวิจัยดาวเด่นผู้อยู่เบื้องหลัง Stable Diffusion ซอฟต์แวร์ AI สร้างภาพจากข้อความ (text-to-image generator) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษัทเพิ่งยื่นใบลาออกเมื่อ 3 วันก่อน และผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ก็ยื่นคำขาดว่า ถ้า Mostaque ไม่ลาออกพวกเขาจะไปเอง
ถึงกระนั้นเมื่อเขาอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้ชมกลุ่มใหญ่ที่มีทั้งคนในวงการและเหล่าสาวก Mostaque วัย 41 ปีก็ยังคงขายฝันอันยิ่งใหญ่ต่อไป โดยแสดงความเห็นว่า “AI คือเครื่องบินเจ็ตสำหรับจิตใจ” แต่หลังจากนั้นเมื่อมีคนถามเรื่องโมเดลการเงินของ Stability เขาก็ไปต่อไม่ถูก “ผมพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณะไม่ได้” เขาตอบ “แต่มันก็ไปได้สวยนะ เราทำได้ดีกว่าที่คาดไว้”
4 วันให้หลัง Mostaque ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Stability เขาโพสต์ใน X (ชื่อเดิมคือ Twitter) อ้างว่า เขาเต็มใจสละตำแหน่งเพื่อลดการรวมศูนย์ “ของพลังในวงการ AI ไม่ให้กระจุกตัวเกินไป” แต่หลังฉากคือ ที่ผ่านมาเขาพยายามต่อสู้เพื่อเหนี่ยวรั้งตำแหน่งและอำนาจควบคุมของตัวเองไว้แม้จะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากทั้งภายนอกและภายในให้เขาลาออกก็ตาม เอกสารของบริษัทและการสัมภาษณ์แหล่งข่าว 32 คนที่มีทั้งพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงาน นักลงทุน ผู้ที่เคยร่วมงานกับเขา และผู้สังเกตการณ์ในวงการชี้ว่า การที่เขาต้องลาออกกะทันหันเป็นผลมาจากการตัดสินใจทางธุรกิจแย่ๆ และการใช้เงินอย่างบ้าคลั่งจนบั่นทอนความเชื่อมั่นที่คนอื่นมีต่อวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของเขา และกลายเป็นกระสุนที่ยิงทะลวงหัวเข่าของบริษัทแห่งนี้ในที่สุด
ในอีเมลที่ Mostaque คุยกับ Forbes เขาโต้แย้งข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างกว้างๆ และแจ้งผ่านทนายมาว่า เขาขอปฏิเสธการให้ความเห็นเพื่อนำมาเขียนบทความสำหรับรายการคำถามที่เราถามไปอย่างละเอียด “ไม่มีใครมาเล่าให้คุณฟังหรอกว่าการเป็นซีอีโอมันลำบากแค่ไหน และยังมีซีอีโอคนอื่นๆ ที่เก่งเรื่องการขยายธุรกิจมากกว่าผม” เขากล่าวในข้อความ “ผมไม่แน่ใจนะว่ามีใครอีกไหมที่จะสามารถก่อตั้งและขยายทีมวิจัยเพื่อสร้างโมเดลที่ดีที่สุดและใช้งานแพร่หลายมากที่สุดได้แบบนี้ และผมภูมิใจกับทีมนี้มาก ผมเฝ้ารอวันที่ผมจะได้เดินหน้าไปแก้โจทย์อื่นต่อและหวังว่าจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลง”
ในข้อความทางอีเมล Christian Laforte และ Shan Shan Wong ซีอีโอร่วมที่มารับตำแหน่งแทน Mostaque ชั่วคราวกล่าวว่า “บริษัทยังคงมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกของบริษัทมาใช้งานในเชิงพาณิชย์” และให้บริการแก่ “คู่ค้าในอุตสาหกรรมผลิตผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ”
หลังจากก่อตั้ง Stability เมื่อปี 2019 Mostaque สร้างบริษัทจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่รายแรกๆ แห่งวงการ AI ด้วยการคว้าโครงการวิจัยที่ดูมีแววซึ่งกลายมาเป็น Stable Diffusion และให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อให้นำมาใช้ในเชิงธุรกิจได้จริง ความสะดวกในการใช้ซอฟต์แวร์นี้สร้างภาพที่มีรายละเอียดขึ้นมาจากการป้อนคำสั่งด้วยข้อความเรียบง่ายที่สุดทำให้ผู้ใช้งานติดใจในทันที บริษัทกล่าวกับ Forbes เมื่อต้นปี 2023 ว่า ในแต่ละวันมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ 10 ล้านคน และในสายตาของกลุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้านั้น Mostaque คือผู้สนับสนุนคนสำคัญในการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส (เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วมพัฒนาได้) ในวงการที่ครอบครองโดยพวกบริษัทระบบปิดอย่าง OpenAI และ Google
แต่การที่สตาร์ทอัพของเขาผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในบริษัทที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดในวงการ generative AI ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคำพูดเกินจริงและคำกล่าวอ้างเพื่อล่อลวงให้เข้าใจผิด ซึ่ง Forbes เปิดโปงเรื่องนี้ไว้ในบทความสืบสวนที่เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (อ่านเรื่องประกอบ “หลอกไปเรื่อยๆ”) และเขาก็ยังไม่เลิกทำแบบนี้หลังจากที่ระดมทุนมาได้แล้วประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าประเมินกิจการอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญ ภายในช่วงไม่กี่วันหลังจากเปิดตัว Stable Diffusion ในปี 2022 แต่การที่เขาไม่สามารถทำตามสัญญาหลายอย่างที่คุยไว้เสียใหญ่โตได้ เช่น การสร้างโมเดล AI เฉพาะตามความต้องการของรัฐบาลประเทศต่างๆ และการตัดสินใจเทเงินหลายสิบล้านเหรียญลงไปกับงานวิจัยที่ไม่มีแผนธุรกิจที่ยั่งยืนมารองรับกลายเป็นสิ่งที่กัดกร่อนรากฐานของ Stability และเป็นภัยต่ออนาคตของบริษัท
ตามที่ Forbes ได้ตรวจสอบบันทึกข้อความภายในซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนตุลาคม ปี 2023 Stability มีเงินเหลือในธนาคารไม่ถึง 4 ล้านเหรียญ หนี้สินที่พอกพูนซึ่งรวมถึงบิลค่าบริการของ Amazon Web Services ที่ค้างจ่ายมาหลายเดือนทำให้บริษัทติดตัวแดง
กองทัพ GPU ของ Stability ซึ่งมีชิปที่ทรงพลังอย่างมหาศาลและราคาแพงอย่างมหากาฬที่ใช้ขับเคลื่อน AI คือภาระหนักหนาด้านการเงินของบริษัท GPU เหล่านี้ทำงานอยู่บนระบบของ AWS และเป็นจุดขายอย่างหนึ่งที่ Mostaque ใช้คุยโวมานานแล้ว เขาชอบโฆษณาว่า นี่คือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกที่ช่วยให้นักวิจัยของ Stability สามารถสร้างและดูแลหนึ่งในซอฟต์แวร์สร้างภาพด้วย AI ระดับชั้นนำได้ รวมทั้งสร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านการผลิตไฟล์เสียง วิดีโอ และแบบจำลอง 3 มิติ “ปฏิเสธไม่ได้ว่า Stability ปล่อยโมเดลออกมามากมายอย่างต่อเนื่อง” อดีตพนักงานคนหนึ่งกล่าว “ถึงบริษัทจะยังไม่มีกำไร แต่ระบบนิเวศโดยรวมก็ได้รับประโยชน์เยอะมาก”
แต่ตอนนี้ต้นทุนอาจกลายเป็นเหตุให้บริษัทล่มจม ตัวเลขคาดการณ์ด้านการเงินภายในบริษัทเมื่อเดือนตุลาคมชี้ว่า Stability ได้เวลาใช้จ่ายเงิน 99 ล้านเหรียญไปกับพลังประมวลผล (ค่าบริการประมวลผลตามเวลาที่ใช้งาน) ในปี 2023 และยังชี้ให้เห็นว่า Stability “ค้างชำระค่าบริการของ AWS สำหรับเดือนกรกฎาคม (1 ล้านเหรียญ)” และ “ยังไม่มีแผนจะจ่ายเงินให้ AWS ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมสำหรับค่าบริการเดือนสิงหาคม (7 ล้านเหรียญ)” แล้วก็ยังมีบิลเดือนกันยายนกับตุลาคม บวกกับอีก 1 ล้านเหรียญที่ติดค้าง Google Cloud อยู่ และอีก 600,000 เหรียญที่ติดค้างศูนย์ข้อมูล GPU คลาวด์ชื่อ CoreWeave (Amazon, Google และ CoreWeave ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น)
เมื่อมีการจัดสรรเงินเพิ่มอีก 54 ล้านเหรียญเป็นค่าแรงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจึงทำให้ตัวเลขคาดการณ์ต้นทุนรวมของ Stability สำหรับปี 2023 กลายเป็น 153 ล้านเหรียญ แต่จากรายงานด้านการเงินของบริษัทในเดือนตุลาคมคาดว่า รายได้ในปีปฏิทินนี้จะมีแค่ 11 ล้านเหรียญ จึงดูเหมือน Stability น่าจะใช้เงินไปใน 1 เดือนมากกว่าที่บริษัทหาได้ทั้งปี
สถานะการเงินที่ร่อแร่เช่นนี้สร้างความขุ่นเคืองให้นักลงทุนปัจจุบันของ Stability ซึ่งรวมถึง Coatue บริษัทลงทุนสายเทครายใหญ่ที่มีมูลค่า(สินทรัพย์) 7 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเทเงินลงทุนให้ Stability ไปหลายสิบล้านในรอบการระดมทุนปี 2022 ที่ได้เงินทุนมา 101 ล้านเหรียญ และภายในช่วงสัปดาห์เดียวหลังจากที่ Mostaque รายงานตัวเลขคาดการณ์ด้านการเงินต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อต้นเดือนตุลาคม Lightspeed Venture Partners ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่อีกรายหนึ่งก็ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการเพื่อขอให้พวกเขาขายบริษัท ตัวเลขที่น่ากังวลนี้ “ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง” ต่อความเชื่อมั่นในเรื่องความสามารถของ Mostaque ในฐานะผู้นำของ Stability
“เราประหลาดใจและกังวลมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์เงินสดที่บริษัทเพิ่งเปิดเผยให้เราทราบ ซึ่งไม่ตรงกับที่เคยหารือกันมาหลายครั้งก่อนหน้านี้” Brett Nissenberg ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัทของ Lightspeed เขียนในจดหมายซึ่ง Forbes ได้อ่านสำเนา “Lightspeed เชื่อว่าบริษัทไม่น่าจะสามารถหาเงินทุนเข้ามาได้ในระดับที่จะช่วยให้บริษัทมีสถานะการเงินมั่นคงในระยะยาว” (Lightspeed และ Coatue ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น)
เสียงเรียกร้องให้ขายกิจการทำให้ Stability เริ่มค้นหาผู้ซื้ออย่างเงียบๆ บริษัท AI รายใหญ่แห่งหนึ่งยืนยันว่า มีตัวแทนของ Mostaque หลายคนติดต่อมาเพื่อลองหยั่งเชิง แต่มีคนบอก Forbes ว่า การพูดคุยเหล่านั้นไม่ได้คืบหน้าไปไหนเนื่องจาก “ตัวเลขดูไม่สมเหตุสมผล” ซึ่งบุคคลดังกล่าวขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเนื้อหาที่พูดคุยเป็นความลับ นอกจากนี้ Stability ยังพยายามจีบ Samsung และทำถึงขนาดตกแต่งออฟฟิศใหม่ล่วงหน้าเพื่อรอรับการประชุมตามแผนกับยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลี (Samsung กล่าวว่า บริษัทลงทุนใน Stability เมื่อปี 2023 และไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับการหารือเรื่องการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ)
แหล่งข่าวที่รู้เรื่องนี้โดยตรงเล่าว่า Coatue เรียกร้องให้ Mostaque ลาออกอยู่หลายเดือน แต่ Coatue และนักลงทุนรายอื่นๆ ก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้เนื่องจากเขาถือหุ้นใหญ่ในบริษัท และแหล่งข่าว 2 คนกล่าวว่า Coatue ลองเปลี่ยนแนวมาชักชวนนักลงทุนรายอื่นให้ช่วยกันเสนอค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อเพื่อให้ Mostaque ยอมลาออก แต่เขาก็ยังปฏิเสธ จนเมื่อถึงเดือนตุลาคม Coatue กับ Lightspeed ก็หมดความอดทน Coatue ลาออกจากคณะกรรมการและ Lightspeed ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้สังเกตการณ์
หลังจากที่ Forbes รายงานข่าวออนไลน์เรื่องที่ Mostaque มีแผนจะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอในเดือนมีนาคม Stability ก็ยืนยันว่า เขาลาออกจริง โดย Wong ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและ Laforte ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเข้ามารักษาการณ์ชั่วคราว นอกจากนี้ Mostaque ซึ่งกล่าวผ่าน X ว่า เขายังถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอยู่ก็ลาออกจากคณะกรรมการบริษัทด้วย และตอนนี้คณะกรรมการก็เริ่มมองหาซีอีโอถาวรคนใหม่แล้ว บริษัทนี้ยังมีงานต้องทำอีกมากเพื่อจะพลิกสถานการณ์และเวลาก็เหลือน้อยเต็มที “เรื่องราวการพลิกวิกฤตอาจจะยังพอเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสสำเร็จก็น้อยลงไปทุกวัน” ผู้บริหารที่ยังทำงานอยู่กับ Stability กล่าว
นักลงทุนรายหนึ่งของ Stability กล่าวกับ Forbes ว่า หลังจากเราเผยแพร่บทความสืบสวนเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2023 ซึ่งอ้างอิงแหล่งข่าวกว่า 30 คนที่เปิดเผยว่า Mostaque มีประวัติชอบกล่าวอ้างให้เกิดความเข้าใจผิด Mostaque ก็ประสบปัญหาในการระดมทุน (เมื่อเราขอความเห็นจาก Mostaque เพื่อนำมาเขียนบทความนี้เขาก็โต้แย้งบทความดังกล่าว และเรียกมันว่า “การรวมหัวกันโกหก”) เหล่านักลงทุนตรวจสอบคำกล่าวอ้างของเขาอย่างละเอียดและจี้ให้เขาเปิดเผยข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าวว่า Timothy Young อดีตกรรมการผู้จัดการของ Dropbox บอกปัดข้อเสนอให้เขามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Stability หลังจากเขาได้อ่านบทความดังกล่าว ซึ่งแหล่งข่าว 4 คนกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้คณะกรรมการและผู้บริหารหัวเสียเพราะพวกเขาคาดหวังว่า Young จะมาช่วยชดเชยทักษะด้านการขายและการบริหารธุรกิจที่ Mostaque ขาดไป (Young ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น)
ตอนที่ผู้บริหารระดับสูงของ Stability ประชุมกันที่ London เมื่อเดือนกันยายน ปี 2023 นั้น การหาเงินทุนยังไม่จบ แหล่งข่าว 3 คนที่รู้เหตุการณ์โดยตรงเล่าว่า ผู้บริหารกลุ่มหนึ่งถาม Mostaque ตรงๆ เรื่องสถานการณ์เงินสดของบริษัทและถามว่า บริษัทยังเหลือเวลาอีกเท่าไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ความกระจ่างอย่างที่คาดหวัง เมื่อถึงเดือนตุลาคม Mostaque ปรับลดเป้าหมายการระดมทุนลงกว่า 80%
ช่วงหลายเดือนต่อมาพนักงานลาออกกันอย่างไม่หยุดหย่อน ตามด้วยเรื่องที่ยิ่งบั่นทอนกำลังใจอย่างการที่กลุ่มนักพัฒนาหลักของ Stable Diffusion ลาออกในเดือนีนาคม พนักงานบางส่วนลาออกเพราะกังวลเรื่องกระแสเงินสดและหนี้สิน รวมทั้งเรื่องที่มี 4 คนอธิบายว่า Mostaque ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของ Stability ถูกนำไปใช้ผลิตสื่อแสดงการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก (child sexual abuse material หรือ CSAM)
แหล่งข่าว 3 คนกล่าวว่า บริการจัดการแอคเคาท์ของ Stability แย่มากจนทำให้ลูกค้าบริษัทเล็กจำนวนหนึ่งขุ่นเคือง ในขณะเดียวกันแหล่งข่าว 5 คนที่รู้เรื่องการพูดคุยกับบริษัทใหญ่อย่าง Samsung และ Snapchat กล่าวว่า ความพยายามของ Stability ล้มเหลว และมีแหล่งข่าว 4 คนกล่าวว่า การพูดคุยกับ Canva ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สของ Stable Diffusion มากที่สุดเพื่อหาโอกาสทำข้อตกลงมูลค่าหลายล้านเหรียญก็ค่อยๆ ดับสนิทไปในที่สุด “โอกาสและอุปสงค์นะมีเยอะ แต่มีแรงต้านอยู่อย่างเดียวจนทำไม่ได้” อดีตพนักงานกล่าว
ขณะที่อดีตผู้บริหารอีกคนหนึ่งของ Stability วิจารณ์ตรงจุดกว่านั้นเยอะ “Emad เป็นผู้นำที่ไร้ระบบระเบียบที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตการทำงานเลย” ผู้บริหารคนดังกล่าวบอก Forbes “เขาไม่มีวิสัยทัศน์และเปลี่ยนทิศทางทุกสัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไหลไปตามสิ่งที่เขาเห็นมาจาก Twitter”
ไม่ถึงเดือนธันวาคม ปี 2023 Stability ทิ้งรากเหง้าโอเพนซอร์สของตัวเองไปบางส่วนและประกาศว่า ลูกค้าที่ใช้ Stable Diffusion เพื่อการพาณิชย์จะต้องจ่ายเงินอย่างน้อยเดือนละ 20 เหรียญ (ส่วนผู้ที่ไม่ได้ใช้งานเชิงพาณิชย์และผู้ที่ใช้ Stable Diffusion ทำงานวิจัยยังใช้ได้ฟรี)
ทว่า Stability ก็แอบคิดหาโอกาสการสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่านั้นด้วย โดยแหล่งข่าว 6 คนที่รู้เรื่องความพยายามครั้งนี้กล่าวว่า บริษัทจะนำพลังประมวลผลที่เช่ามาจากผู้ให้บริการอย่าง AWS ไปขายต่อ แม้ว่าโดยเนื้อแท้แล้วมันคือ การเอา GPU จากตลาดหนึ่งไปขายในอีกตลาดหนึ่งเพื่อกินส่วนต่าง แต่ Stability เอากลยุทธ์นี้มาโฆษณากับนักลงทุนว่านี่เป็นการนำเสนอ “บริการพร้อมการบริหารจัดการ” และรายงานด้านการเงินฉบับตุลาคมที่ฟ้องปัญหาของบริษัทก็นำเสนอตัวเลขคาดการณ์แบบโลกสวยว่า บริการดังกล่าวจะสร้างรายได้ 139 ล้านเหรียญในปี 2024 ซึ่งคิดเป็น 98% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
ตอนนั้นมีพนักงานหลายคนบอก Forbes ว่า พวกเขากลัวว่าเรื่องนี้จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในสัญญาที่ Stability ทำไว้กับ AWS ส่วน Amazon ปฏิเสธการให้ความเห็น “เส้นที่เราขีดไว้ในตอนแรกคือ เราจะไม่เอาพลังประมวลผลไปขายต่อ” อดีตพนักงานคนหนึ่งกล่าว “การทำแบบนั้นมันรู้สึกสกปรกอย่างที่สุด” Stability ไม่ตอบคำถามว่า บริษัทยังมีแผนจะใช้กลยุทธ์นี้ต่อไปหรือไม่ในเมื่อตอนนี้ Mostaque พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
ในการประชุมทั้งบริษัทเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำใหม่ 2 คนของ Stability ชี้แจงเรื่องหนทางข้างหน้าอย่างละเอียด แหล่งข่าวคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเน้นย้ำคือ แผนการบริหารทรัพยากรและค่าใช้จ่ายให้ดีขึ้น ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้น แต่เรื่องยุ่งที่ Mostaque ก่อไว้ก็ทำให้พวกเขาเหลือเวลาแก้ไขน้อยมากแล้ว แม้ในเดือนเมษายนบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานอีก 10% เพื่อตัดค่าใช้จ่าย แต่การที่ Mostaque ลาออกไปก็ทำให้พนักงานส่วนหนึ่งเริ่มมีความหวัง “หลังจากวันนี้ต้องมีบางคนที่เปลี่ยนใจเรื่องลาออกแน่นอน” พนักงานปัจจุบันคนหนึ่งกล่าวหลังจากเข้าร่วมประชุม “และบรรยากาศหดหู่ประหลาดๆ เวลาต้องฟัง Emad พล่ามไร้สาระเป็นชั่วโมงก็หายไปแล้ว”
หลังจาก Mostaque ลาออกได้ไม่นาน ผู้บริหารปัจจุบันของ Stability คนหนึ่งบอก Forbes ว่า พวกเขามองในแง่ดีว่าการที่ Mostaque ลาออกไปอาจจะช่วยให้ Stability ดูน่าสนใจมากขึ้นจนพอจะหาเงินทุนก้อนเล็กๆ หรือขายกิจการให้บริษัทอื่นที่เป็นมิตรกันได้ “มีบริษัทอีกหลายแห่งที่ระดมเงินทุนได้หลายร้อยล้านเหรียญทั้งที่มีมูลค่าที่แท้จริงน้อยกว่า Stability มาก” ผู้บริหารคนนั้นกล่าว “อาจจะยังมีอัศวินม้าขาวมาช่วยเรา”
รายงานเพิ่มเติมโดย Alex Konrad
เรื่อง: KENRICK CAI และ IAIN MARTI เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: LEVON BISS
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Cameron Adams หนึ่งในผู้ให้กำเนิด Canva