สมรภูมิชิงสัญญาณมือถือ แผนเอาชนะ Elon Musk และ Jeff Bezos - Forbes Thailand

สมรภูมิชิงสัญญาณมือถือ แผนเอาชนะ Elon Musk และ Jeff Bezos

FORBES THAILAND / ADMIN
29 Sep 2025 | 09:08 AM
READ 253

เศรษฐีพันล้านผู้อพยพจากเวเนซุเอลา Abel Avellan มีแผนจะเอาชนะ Starlink ของ Elon Musk และ Project Kuiper ของ Jeff Bezos ด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมความเร็วสูงส่งตรงถึงโทรศัพท์มือถือของคุณ


    เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ผู้ชมกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ในวงการได้มารวมตัวกันที่ Cape Canaveral รัฐ Florida เพื่อชมการปล่อยจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ครั้งที่ 373 แต่ครั้งนี้จรวดไม่ได้บรรทุกดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk อีกดวงเพื่อไปสมทบกับฝูงดาวเทียมกว่า 7,100 ดวงที่โคจรรอบโลกอยู่แล้ว สิ่งที่อยู่บนจรวดคือ ดาวเทียม 5 ดวงของบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า AST SpaceMobile ซึ่งเป็นคู่แข่งรายย่อยของ Starlink ที่ SpaceX เคยเย้ยหยันในเอกสารที่ยื่นหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้รัฐบาลกลางว่า เป็นแค่ “หุ้นมีม”

    ดาวเทียมแต่ละดวงติดตั้งเสาอากาศขนาด 700 ตารางฟุต ที่จะกางออกเมื่ออยู่ในวงโคจร ซึ่งเป็นก้าวเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายที่ AST หวังว่าจะสามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง Starlink ที่เคยเย้ยหยันพวกเขาเอาไว้ได้ในอนาคต

    ขนาดของเสาอากาศเหล่านี้และรุ่นใหม่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าด้วยขนาดถึง 2,400 ตารางฟุตที่จะนำเข้ามาใช้แทนคือหัวใจสำคัญตามแผนของ Abel Avellan ซึ่งเป็นทั้งซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทที่วางเป้าจะเจาะตลาดใหม่นั่นก็คือ อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ส่งตรงถึงโทรศัพท์มือถือของคุณ

    กลยุทธ์นี้แตกต่างจาก SpaceX ซึ่งใช้ดาวเทียมหลายพันดวงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้กับบ้านเรือน ธุรกิจ ยานพาหนะ และแม้แต่ทำเนียบขาว ทางฝั่ง AST SpaceMobile เชื่อว่าเสาอากาศขนาดมหึมาจะทำให้พวกเขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกได้ด้วยดาวเทียมเพียง 90 ดวงเท่านั้น บริษัทมีแผนจะส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรจำนวน 60 ดวงให้ได้ภายในสิ้นปี 2026

    เป้าหมายคือ ทำให้โทรศัพท์มือถือยังคงเชื่อมต่อได้แม้อยู่ไกลจากเสาสัญญาณ ไม่ว่าคุณจะเดินป่าอยู่ในถิ่นทุรกันดารหรืออยู่บนเรือกลางทะเลไกลๆ ก็ยังสามารถโทรออกได้ โดยที่ในอดีตสิ่งเหล่านี้จะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษราคาแพงอย่างโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม

    “วิสัยทัศน์ของเราคือ การให้การเชื่อมต่อได้โดยไม่มีข้อแม้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก” Avellan วัย 54 ปีกล่าว ซึ่งแนวทางนี้ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักของ Starlink

    รายได้ 1.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการให้บริการสถานีอินเทอร์เน็ตกับฐานประจำที่บ้านและธุรกิจ ไม่ใช่กับโทรศัพท์มือถือ และก็ไม่ใช่วิสัยทัศน์ของ Project Kuiper ของ Jeff Bezos ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Starlink โดยเพิ่งปล่อยดาวเทียมชุดแรก 27 ดวงจากทั้งหมดที่วางแผนไว้กว่า 3,200 ดวงเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม Starlink ก็ไม่ได้ละเลยตลาดโทรศัพท์มือถือไปเสียทีเดียว ปัจจุบัน Starlink กำลังอยู่ในช่วงทดสอบระบบเบต้าร่วมกับ T-Mobile เพื่อให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือได้แม้ไม่มีสัญญาณ ซึ่งทำให้ Starlink ได้เปรียบ AST ในช่วงเริ่มต้น

    นอกจากนี้ Starlink ยังมีดาวเทียมอยู่แล้วหลายพันดวง ขณะที่ AST มีเพียง 5 ดวง และความสัมพันธ์ของ Musk กับรัฐบาล Trump ก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญในธุรกิจโทรคมนาคมที่มีกฎระเบียบเข้มงวด มูลค่าประเมินของ Starlink นั้นสูงถึง 3.5 แสนล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ามูลค่าตลาดของ AST ที่ตั้งอยู่ในเมือง Midland รัฐ Texas อย่างมหาศาล (AST เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 ผ่านการควบรวมกับบริษัทเข้าซื้อกิจการเฉพาะกิจหรือ SPAC) โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดราว 8.7 พันล้านเหรียญ

    อย่างไรก็ตาม AST ยังมีโอกาสในตลาดเกิดใหม่ที่ต้องการใช้โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียม ซึ่งอาจสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล โอกาสที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การให้บริการในพื้นที่ห่างไกลสำหรับชาวยุโรปหรืออเมริกาเหนือ แต่คือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้กับผู้คนกว่า 2.6 พันล้านคนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ได้เลยในตอนนี้ คนเหล่านั้นส่วนใหญ่จ่ายค่าบริการของ Starlink ไม่ไหว ฐานรับสัญญาณแบบพื้นฐานมีราคาเริ่มต้นที่ 350 เหรียญ และยังมีค่าบริการรายเดือนสำหรับ Wi-Fi ภายในบ้านอีกประมาณ 80 เหรียญ

    ในขณะที่ราคาของ AST ยังเป็นเพียงหลักการทางทฤษฎี แต่บริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ก็หวังว่าจะสามารถให้บริการได้โดยคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มจากบิลโทรศัพท์มือถือเพียงไม่กี่เหรียญต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมาก

    “เมื่อพูดถึงเครือข่ายความเร็วสูง วิธีที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ ผ่านโทรศัพท์ของคุณเอง” Avellan กล่าว การไม่ต้องสร้างเสาสัญญาณมือถือใหม่เลยอาจหมายถึงการประหยัดต้นทุนมหาศาลสำหรับบริษัทโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน หากพวกเขาสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในพื้นที่ที่ยังไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    ธนาคาร Deutsche Bank (ซึ่งไม่ได้เป็นนักลงทุนของ AST) ประเมินว่า รายได้ของบริษัทอาจสูงถึง 370 ล้านเหรียญในปี 2026 เมื่อบริการเชิงพาณิชย์เริ่มเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ และอาจทะลุ 5 พันล้านเหรียญภายในปี 2030 โดยใช้เงินลงทุนต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับ Starlink ที่ต้องใช้ต้นทุนมหาศาลในการปล่อยดาวเทียมขึ้นไปอีกหลายพันดวง

    อุปสรรคใหญ่ของทั้งสองบริษัทคือ กฎพื้นฐานของฟิสิกส์ในการสื่อสารผ่านดาวเทียม นั่นคือ โทรศัพท์ของคุณต้องสามารถมองเห็นดาวเทียมโดยตรงจึงจะรับสัญญาณได้ Starlink, Project Kuiper และบริษัทจากจีนหลายแห่งวางแผนจะแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งดาวเทียมขนาดเล็กราคาถูกนับพันดวงขึ้นไปในวงโคจรต่ำรอบโลกเพื่อให้ดาวเทียมเหล่านี้สามารถส่งต่อสัญญาณถึงกันได้ต่อเนื่อง และเชื่อมต่อกับจานรับสัญญาณที่อยู่บนพื้นดินได้อย่างเสถียร แต่เสาอากาศในโทรศัพท์มือถือมีขนาดเล็กมาก ทำให้การรับส่งข้อมูลความเร็วสูงทำได้ยาก โดยส่วนใหญ่จึงทำได้แค่การส่งข้อความเท่านั้น

    ขณะที่ดาวเทียมของ AST ติดตั้งเสาอากาศที่มีขนาดใหญ่กว่า Starlink อย่างน้อย 50 เท่า ซึ่งถือเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมอย่างมาก เสาอากาศหนาหลายเซนติเมตรเหล่านี้ต้องถูกประกอบในห้องปลอดเชื้อก่อนจะถูกบรรจุลงในดาวเทียมอย่างแน่นหนาสำหรับการปล่อยขึ้นสู่อวกาศ และต้องสามารถกางออกอย่างแม่นยำเมื่อลอยอยู่ในวงโคจร

    กระบวนการทั้งหมดนี้ซับซ้อนกว่าดาวเทียมของ Starlink มาก และต้นทุนในการสร้างดาวเทียมแต่ละดวงของ AST ก็สูงกว่ามาก โดยอยู่ที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ เทียบกับราว 1.2 ล้านเหรียญต่อดวงของ Starlink แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่แท้จริง ปัจจุบันดาวเทียมทั้ง 5 ดวงของ AST ได้ทดลองใช้งานสำเร็จ โดยสามารถโทรวิดีโอผ่านเครือข่ายของ Verizon, Vodafone, Rakuten และ AT&T ได้จากโทรศัพท์มือถือทั่วไป นอกจากนี้ ดาวเทียมของ AST ยังมีอายุการใช้งานนานกว่าด้วย โดยเปลี่ยนทุก 10 ปี ขณะที่ Starlink ต้องเปลี่ยนทุก 5-7 ปี

    เสาอากาศขนาดใหญ่ของ AST ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายความเร็วสูงกับโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น ตามคำกล่าวของ John Baras อาจารย์ด้านวิศวกรรมอากาศยานจาก University of Maryland เขาอธิบายว่า เสาอากาศเหล่านี้สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างกว่ามาก และถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ที่กำลังเคลื่อนที่ ในทางตรงกันข้าม Starlink ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่า เพราะระบบของพวกเขาเดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อส่งอินเทอร์เน็ตไปยังสถานีภาคพื้นดินที่อยู่กับที่ ไม่ใช่อุปกรณ์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา “Starlink จะต้องเจอกับปัญหาแน่นอน” เขากล่าว SpaceX ไม่ตอบกลับการขอสัมภาษณ์ในเรื่องนี้

    JR Wilson รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายเครือข่ายเสาโทรคมนาคมและโรมมิ่งของ AT&T ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของ AST เปรียบเทียบการแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่าง Starlink และ AST ว่า เหมือนกับการแข่งขันของเครื่องเล่นวิดีโอในยุค 1980 “Beta ออกมาก่อน แต่ไม่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ VHS มี” เขากล่าว พร้อมรำลึกถึงฟอร์แมตวิดีโอของ Sony ที่แม้จะให้ภาพคมชัดกว่า แต่กลับล้มเหลวเพราะราคาสูงและบันทึกได้น้อย AT&T วางแผนจะเริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมโดยใช้ระบบของ AST ทันทีที่มีดาวเทียมในวงโคจรมากขึ้นในปีหน้า

    ในขณะนี้ AST ได้ทำข้อตกลงกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลกแล้วหลายสิบราย รวมถึง Vodafone, Rakuten และ Verizon (ซึ่งล้วนเป็นผู้ลงทุนในบริษัท) ซึ่งเปิดโอกาสให้เข้าถึงผู้ใช้ได้ถึงราว 3 พันล้านราย การเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่มีข้อดีมากมาย ตามที่ Mike Crawford นักวิเคราะห์จากบริษัท B. Riley Securities ใน Los Angeles กล่าวไว้ เหตุเพราะการหลีกเลี่ยงตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านผ่านดาวเทียม ซึ่ง Starlink ครองส่วนแบ่งอยู่ทำให้ AST ไม่ต้องเสียเงินดึงลูกค้าเองหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินราคาแพง พันธมิตรของพวกเขาสร้างสิ่งเหล่านั้นไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังช่วยให้ AST ไม่ต้องชนตรงๆ กับยักษ์ใหญ่วงการโทรคมนาคมที่อยู่มานานอีกด้วย

    Avellan รู้จักวงการนี้อย่างลึกซึ้ง เขาเกิดในเวเนซุเอลาและเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์ ก่อนเริ่มต้นอาชีพกับยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของสวีเดนอย่าง Ericssonต่อมาในปี 2000 เขาก่อตั้งบริษัทแรกของตัวเองชื่อ Emerging Markets Communications ด้วย “เงินทุนเริ่มต้นเพียง 50,000 เหรียญ พร้อมกับมีภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์” เป้าหมายของเขาคือ ให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมในแอฟริกาและตะวันออกกลาง รวมไปถึงเรือสำราญและเรือบรรทุกสินค้า เขาขายบริษัทนั้นให้กับ Global Eagle บริษัทผู้ให้บริการดาวเทียมในปี 2016 ในราคา 550 ล้านเหรียญ และเขาก็นำเงินบางส่วนมาลงทุนตั้งบริษัท AST ในปีถัดมา

    หลังจาก AST ปล่อยดาวเทียมทดลองดวงแรกขึ้นสู่วงโคจรในปี 2019 บริษัทก็สามารถระดมทุนได้ 110 ล้านเหรียญจาก Vodafone, Rakuten, AT&T รวมถึงบริษัทเงินร่วมลงทุน (VC) อย่าง Shift Ventures จาก London ต่อมาในปี 2021 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นผ่านบริษัทในรูปแบบ SPAC ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทไพรเวทอิควิตี้ New Providence ซึ่งทำให้ระดมทุนเพิ่มได้อีก 462 ล้านเหรียญ

    หลังจากนั้นราคาหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ส่งผลให้ Avellan ซึ่งถือหุ้นอยู่ราว 25% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 2.1 พันล้านเหรียญมีความมั่งคั่ง เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา AST และ Vodafone ได้ประกาศแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ AST แก่ผู้ให้บริการมือถือในยุโรปและแอฟริกา

    การเป็นพันธมิตรกับบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ต่างๆ ยังช่วยให้ AST เข้าถึงคลื่นความถี่วิทยุซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างความเป็นไปได้สำหรับการสื่อสารระหว่างดาวเทียมกับโทรศัพท์มือถือ โดยคลื่นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินของบรรดาบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย หากหน่วยงานกำกับดูแลอนุมัติข้อตกลงทั้งหมด รวมถึงการเช่าคลื่นความถี่จาก Ligado Networks จะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะคลื่นนี้จะทำให้การส่งข้อมูลของ AST มีความเร็วเทียบเท่า 4G ดาวเทียมของบริษัทก็จะสามารถให้บริการครอบคลุมทั่วโลกได้ ขณะที่ SpaceX ยังให้บริการได้แค่การส่งข้อความเท่านั้น แม้ว่าสถานการณ์นั้นอาจเปลี่ยนแปลงเป็นที่แน่นอนในอนาคตก็ตาม

    ด้วยความที่ Starlink มีพันธมิตรเพียงไม่กี่รายจึงเป็น “บริษัทที่มีเงินสดมาก แต่มีคลื่นความถี่ที่แย่กว่า” Crawford นักวิเคราะห์จาก B.Riley กล่าวนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากรู้จักท่าทีของ Musk ผู้ซึ่งมีท่าทีก้าวร้าวในการดำเนินธุรกิจ โดย Chris Quilty นักวิเคราะห์ในวงการกล่าวว่า “SpaceX มักจะร่วมมือกับผู้คนต่างๆ ไปจนถึงจุดที่พวกเขาจะสามารถได้สิ่งที่ตนเองต้องการ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็จะเหยียบหน้าคุณ”

    นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ของ Musk กับรัฐบาล Trump อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของธุรกิจของ AST ที่กำลังขยายตัว ชัดเจนว่าบริษัทของ Musk มองว่า AST เป็นภัยคุกคาม SpaceX ได้เริ่มเล่นแรงกับ AST แล้วในหลายประเด็นในเรื่องของกฎระเบียบที่อยู่ภายใต้การดูแลของ FCC ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้คลื่นความถี่ ขยะอวกาศ หรือการรบกวนการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์

    ในเอกสารที่ยื่นต่อ FCC นั่นเองที่ SpaceX พูดดูถูก AST ว่า เป็นแค่ “หุ้นมีม” ซึ่งก็มีเหตุผลอยู่บ้าง เพราะแม้หุ้นของ AST จะเพิ่มขึ้นรวม 172% นับตั้งแต่เข้าตลาดฯ ตั้งแต่พฤษภาคมปีที่แล้ว ราคาหุ้นพุ่งแรงมากจนเคยขึ้นไปมากกว่า 1,000% ในจุดสูงสุด ปัญหาคือ บริษัทแทบไม่มีรายได้ที่จะรองรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในระดับหลายพันล้านเหรียญได้เลย ในปี 2024 AST ใช้เงินไปถึง 300 ล้านเหรียญ แต่มีรายได้แค่ราวๆ 4 ล้านเหรียญ ซึ่งทั้งหมดก็มาจากสัญญาที่ทำไว้กับ Space Defense Agency เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมทางทหารเท่านั้น

    และเช่นเดียวกับหุ้นมีมตัวอื่นๆ AST ก็มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นบนโลกออนไลน์ 1,000 คนเลยทีเดียว “ผู้คนตื่นเต้นกับแนวคิดที่ว่า ไม่ว่าคุณจะอาศัยหรือทำงานอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้” Avellan กล่าวถึงความสนใจที่เกิดขึ้น “แล้วถ้าพวกเขาสามารถทำเงินได้จากการลงทุนและติดตามสิ่งที่ทำลงไปด้วยละก็ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”


หมายเหตุ: บทความนี้ตีพิมพ์ในช่วงเวลาที่ Elon Musk ยังไม่ลาออกจากรัฐบาล Donald Trump



เรื่อง: Alex Knapp เรียบเรียง: จารุณี แตมสำราญ

ภาพ: Jamel Toppin



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Ben Lamm เศรษฐีพันล้าน จากการชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine