สำหรับบรรดาสตาร์ทอัพในโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ Shenzhen การวิจัยและพัฒนา ( R&D) ที่กินเวลา 1 เดือน กลับใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
เรื่องน่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับ Shenzhen ไม่ใช่การที่เมืองนี้ก้าวมาจากหมู่บ้านในชนบทขนาด 30,000 คนสู่การเป็นมหานครประชากร 20 ล้านคนในเวลา 30 ปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา แต่ไม่ สิ่งน่าทึ่งที่สุดของ Shenzhen คือเบื้องหลังการเติบโตอันมิอาจวัดได้ เมืองแห่งนี้คือจุดกำเนิดผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ของโลกเกือบทั้งหมด
การบรรยายว่าตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ HuaQiangBei ทางใต้ของเมือง Shenzhen ของจีน เป็นเสมือนเมืองอันเฟื่องฟูสำหรับธุรกิจอุปกรณ์คอมพิวเตอร์นั้น เป็นคำกล่าวที่ลดทอนความจริงอย่างมาก เมื่อตระเวนผ่านแผงอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งมีกองไมโครชิป บอร์ดวงจร หลอดไฟ LED และตัวชาร์จไร้สายวางเรียงเป็นแถว ขณะที่โดรนกำลังบินและโฮเวอร์บอร์ดโฉบเฉี่ยวไปมา
คุณคิดว่าตัวเองได้เห็นทั้งหมดแล้ว แต่คุณสะกิดอยู่แค่ผิวนอกเท่านั้น หรืออยู่ที่จุดปลายสุดสำหรับกรณีนี้
ศูนย์รวมทีมนักประดิษฐ์
ถัดขึ้นไป 8 ชั้นเหนือสวรรค์ของเหล่านักสร้างอันคึกคักคือ HAX โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ ในชั่วขณะที่คุณก้าวเข้าไปในลิฟต์ นำไปสู่ทางเข้า HAX ซึ่งตกแต่งสไตล์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า เสียงพูดคุยเบื้องหลังจะเปลี่ยนจากภาษาจีนกลางเป็นอังกฤษหลากหลายสำเนียง
พื้นที่เปิดโล่งทั่วชั้นแผ่กว้างออกไป 42,000 ตารางฟุต ก่อสร้างขึ้นเพื่อการสร้างสรรค์ ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์สำหรับทำงานร่วมกันทั่วไป เช่น มุมโทรศัพท์สำหรับพูดคุยส่วนตัว ห้องประชุมพร้อมกระดานไวท์บอร์ด โต๊ะปิงปองในห้องครัว และห้องครึ่งวงกลมสำหรับนำเสนองาน
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อีกทั้งชั้นสำหรับห้องจัดเตรียมงานต้นแบบ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือทดสอบเชิงอุตสาหกรรม หน่วยการผลิต มีแม้กระทั่งห้องแล็บชีวภาพสำหรับการวิจัยเชิงการแพทย์และเกษตรกรรม
Keenan Pinto หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีที่ Nordetect บริษัทวิเคราะห์ด้านชีวเคมีจากเดนมาร์ก กำลังสาธิตเครื่องวินิจฉัยแบบพกพาสำหรับบริษัททางการเกษตรเพื่อใช้ทดสอบตัวอย่างดิน
“บริษัทจำนวนมากมาหาเราเพราะ Shenzhen บริษัทฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่รู้ว่าพวกเขาต้องมาที่ Shenzhen เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการสู่บริษัทเต็มรูปแบบ” Duncan Turner กรรมการผู้จัดการของ HAX กล่าว โดยเขาเป็นผู้นำโครงการนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น
แพลตฟอร์มสนับสนุนเงินทุนตั้งตัวที่ขับเคลื่อนด้วยการคอยให้คำแนะนำดูแลนี้ ทำงานร่วมกับทีมงาน 150 ทีม ซึ่งสร้าง “ ของเจ๋งๆ ในด้านเทคโนโลยีผู้บริโภค บริการสุขภาพ IoT สำหรับองค์กร หรือหุ่นยนต์อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีการผลิต”
ทีมสตาร์ทอัพมาจากทั่วทุกมุมโลก โดยกว่าครึ่งมาจากอเมริกาเหนือ 1 ใน 4 มาจากจีน และที่เหลือมาจากยุโรป
“คุณสร้างตัวต้นแบบที่ใดก็ได้ แต่มันใช้เวลานาน 90% ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีต้นกำเนิดใน Shenzhen” Turner ผู้ใช้เวลาหลายปีไปๆ มาๆ ระหว่าง London และเมือง Xiamen ก่อนมาดูแล HAX เสริม
สตาร์ทอัพ Pushme จากสหราชอาณาจักรนำเสนอแท่นชาร์จไฟเร่งด่วนแบบต่อแล้วพร้อมใช้ทันทีในร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหาร สำหรับจักรยานไฟฟ้า
ในฐานะอดีตหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่บริษัท IDEO Shanghai Turner รู้จากประสบการณ์ตรงว่า “ คุณสามารถเอาส่วนประกอบของบริษัท Western มาใช้ได้ แต่คุณจะพบว่าเมื่อคุณผลิต ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นคุณต้องออกแบบและประดิษฐ์ใหม่”
สมาชิก 30 คนที่โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์นี้มีตั้งแต่วิศวกรหุ่นยนต์ ไฟฟ้าและเครื่องกล ไปจนถึงกราฟิกดีไซเนอร์ และนักออกแบบเชิงอุตสาหกรรม ทั้งหมดต่างพร้อมทำงานตามความต้องการของแต่ละคน
HAX สุดยอดโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ
HAX เป็น 1 ใน 6 โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่ดำเนินการโดย SOSV ( โครงการอื่นๆ อยู่ใน Shanghai, Taipei, San Francisco, Cork, Ireland และ New York) บริษัทร่วมลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในเมือง Princeton รัฐ New Jersey
การก้าวเข้าสู่โครงการอันเป็นที่ต้องการนี้ มาพร้อมกับเงินทุนตั้งต้น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนกับหุ้น 10% ในสตาร์ทอัพ ทีมที่แสดงออกถึงศักยภาพจะมีโอกาสได้รับการลงทุนตามมาจากกองทุนช่วยเร่งขนาดการเติบโต
unspun ผู้ผลิตเสื้อผ้าจากสหรัฐฯ ใช้ข้อมูลสามมิติจากการสแกนร่างกาย สร้างสรรค์กางเกงยีนส์แบบตัดตามสั่ง โดยKevin Martin ผู้ร่วมก่อตั้งอยู่ทางซ้าย
“เราใช้โครงการนี้ตรวจสอบสตาร์ทอัพก่อนเข้าไปลงทุน ( due diligence)” Turner ผู้เป็นหุ้นส่วนสามัญของ SOSV ซึ่งรับผิดชอบการจัดการเงินทุนด้วยเช่นกัน กล่าว เขามักประเมินจากความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ “ มันดีกว่าการตรวจสอบใดๆ ก็ตามที่คุณจะทำในฐานะนักลงทุนทั่วไปซึ่งเข้ามาในช่วง series A”
จนถึงวันนี้ SOSV ลงทุนในสตาร์ทอัพเกือบ 700 แห่งแล้ว แม้จะมีการขยายหลักสูตรที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำ Pearl ( Pearl River Delta) อย่างล้นหลาม เช่น AIRmaker, Shenzhen Valley Ventures, Seeed Studio, Brinc, Techcode, Highway1, Blueprint เป็นต้น แต่ HAX ถือเป็นแห่งแรกที่ยกระดับสถานะของตัวเองใน Shenzhen เพื่อสร้างฮาร์ดแวร์
ในปี 2012 องค์กรเอกชนต่างๆ ได้จัดตั้งศูนย์บ่มเพาะธุรกิจขึ้นมาอีกเช่นกัน จากความตั้งใจในการก้าวนำเทคโนโลยี “ พลิกโลก” ต่างๆ
อนาคตของ Shenzhen ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมโลก
Andreas Schotter อาจารย์จากวิทยาลัยธุรกิจ Ivey Business School in London เมือง Ontario ใน Canada คาดการณ์ว่า ทั่วจีนนั้นมีโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพราว 3,000 แห่งกำลังดำเนินการอยู่ และจำนวนดังกล่าวคาดว่าจะทะลุ 5,000 แห่งภายในปี 2020 ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
“นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเนื่องจากยังมีเงินทุนอิสระมากมายจากคลื่นการพัฒนาอุตสาหกรรมช่วงแรก ซึ่งยังหาพื้นที่งอกเงย” Schotter กล่าว เขามองว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนเป็นพิเศษในนวัตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ของจีนอย่างพลังงานหรือความปลอดภัยเรื่องน้ำและอาหาร
Wazer จาก New York พัฒนาเครื่องตัด waterjet แบบตั้งโต๊ะราคา 6,000 เหรียญ ที่สามารถตัดผ่านวัตถุใดๆ ก็ได้ตามคำกล่าวของ Matt Nowicki ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO)
แม้แหล่งเงินแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีมีอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่ แต่สถานะของ Shenzhen มั่นคงแข็งแกร่ง ในปี 1980 เมื่อทางเมืองได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน มหานครแห่งนี้เปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ และดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีในบ้านเกิดที่โดดเด่นมากมาย เช่น Tencent, Huawei, ZTE, Coolpad, DJI และ BYD
ในปี 2016 จีดีพีของ Shenzhen อยู่ที่กว่า 3 แสนล้านเหรียญ ผลผลิตทางเศรษฐกิจของเมืองสูสีกับมณฑลขนาดกลางชั้นนำ และแซงหน้าหลายประเทศ เช่น โปรตุเกสและกรีซ ส่งผลให้ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับชาติพัฒนาแล้วอย่างออสเตรเลียและเยอรมนี
Turner ยังคงคิดว่า Shenzhen คือสถานที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาฮาร์ดแวร์ ทั้งแง่ความเร็วในการออกสู่ตลาดและประสิทธิภาพการทำงานของห่วงโซ่อุปทาน ความจริงอย่างหนึ่งซึ่งได้รับการทดสอบและพิสูจน์แล้วที่เขายืนยันอย่างแข็งขันคือ หนึ่งสัปดาห์ใน Shenzhen เป็นเหมือนหนึ่งเดือนในที่อื่น
“ทีมงานมาที่นี่ 3 เดือน แล้วพวกเขาทำงานวิจัยและพัฒนาที่ปกติจะใช้เวลาราว 1 ปีเสร็จ”
เรื่อง: Pamela Ambler
เรียบเรียง: ชูแอตต์
คลิกอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine