แผนสำรอง - Forbes Thailand

แผนสำรอง

FORBES THAILAND / ADMIN
17 Mar 2023 | 08:25 AM
READ 3206

เมื่อ Aaron Jagdfeld เข้ารับตำแหน่งซีอีโอของผู้ผลิตเครื่องปั่นไฟ Generac บริษัทนี้แทบจะจ่ายค่าไฟไม่ไหว แต่ตอนนี้หลังวิกฤตโรคระบาดใหญ่และสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาผลิตสินค้าแทบไม่ทันคำสั่งซื้อพร้อมเดินหน้าเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงแห่งอนาคต


    สถานการณ์ของ Generac บริษัทที่ก่อตั้งมา 49 ปี ในปี 2018 ค่อนข้างจะมืดมน บริษัทนี้ผลิตเครื่องปั่นไฟสำรองจากก๊าซธรรมชาติและถูกเข้าซื้อกิจการก่อนหน้านั้นหลายปีโดย CCMP Capital บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจาก New York City เข้าซื้อหุ้น 70% จากผู้ก่อตั้ง วัย 81 ปี ของบริษัทที่ตั้งอยู่ที่ Milwaukee ที่มียอดขายเพียง 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มีหนี้ถึง 1.4 พันล้านเหรียญ

    จังหวะเวลาของการเข้าซื้อถือว่าย่ำแย่มากเพราะปี 2006-2007 มีพายุเฮอร์ริเคน (ปัจจัยหลักของยอดขายเครื่องปั่นไฟ) พัดขึ้นฝั่งสหรัฐฯ เพียงลูกเดียว จากนั้นยังเกิดวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงตัดรายได้ของ Generac ไปถึง 1 ใน 3 ยังไม่นับรวมเงินที่ต้องชำระหนี้และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ 

    CCMP จึงจำาต้องควักเงินเพิ่มเพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้และทาบทาม Aaron Jagdfeld นักบัญชีวัย 33 ปี ของบริษัทที่ก้าวขึ้นมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินให้มานั่งเก้าอี้ซีอีโอแต่กระนั้นนักบัญชีที่อายุยังน้อยคนนี้กลับมีวิธีแก้สถานการณ์ที่สร้างความประหลาดใจ คือ การเดินหน้ารุกตลาดมากขึ้น หลังจากมีการเข้ามาซื้อหนี้บางส่วนของบริษัทด้วยราคาที่ 50 เซ็นต์ต่อดอลลาร์

   เขานำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2010 และเริ่มเข้าซื้อกิจการบริษัทต่างๆ (รวม 25 แห่งตั้งแต่ปี 2011) ช่วงแรกเขาซื้อกิจการแวดล้อมก่อน เช่น บริษัทเสาส่งสัญญาณมือถือและเสาไฟภายนอก 

    จากนั้นจึงซื้อกิจการที่จะสร้างแนวคิดการทำบ้านประหยัดพลังงานที่เป็นเสมือน “โรงไฟฟ้าจำาลอง” ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ ซึ่งไม่เพียงแค่จะทำให้ผู้ใช้งานยังมีแสงไฟ เครื่องทำความร้อน และตู้เย็นใช้ในช่วงที่ไฟดับ แต่ยังขายไฟฟ้ากลับคืนสู่โครงข่ายขนาดเล็กได้อีกด้วย

    ความต้องการเครื่องปั่นไฟราคา 2 หมื่นเหรียญของ Generac พุ่งสูงด้วยปัจจัยหนุนอย่างสภาพอากาศสุดขั้ว ปัญหาของระบบโครงข่ายไฟฟ้าในประเทศ และการระบาดของโควิด-19 ซึ่ง Jagdfeld บอกว่า มันได้เปลี่ยนบ้านธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเสมือนสถานที่หลบภัยท่ามกลางการล้มลุกคลุกคลานของคู่แข่ง (บริษัทคู่ปรับตัวฉกาจ Briggs & Stratton ล้มละลายไปในปี 2020) และความมุมานะของ Generac เอง 

    ปัจจุบันทางบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเครื่องปั่นไฟที่ใช้ตามบ้านถึง 80% และมีคำสั่งซื้อตุนไว้อีก 6 เดือนเพื่อส่งมอบในรอบปีการเงินปีที่แล้วที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มีนาคมปี 2022 Generac มียอดขาย 4.1 พันล้านเหรียญ และทำกำไรขั้นต้นได้ 1.8 พันล้านเหรียญ ตัวเลขดังกล่าวนั้นมากกว่าก่อนโควิด-19 ระบาดถึงเท่าตัว ยอดขายอื่นๆ 

    นอกเหนือจากเครื่องปั่นไฟคิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ ทั้งนี้ตั้งแต่นำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วยราคาหุ้นละ 13 เหรียญ หุ้นของ Generac จึงผันผวนอย่างหนักทะยานขึ้นไปแตะ 498 เหรียญได้อย่างเหลือเชื่อเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2021 ก่อนจะกลับมาซื้อขายที่ 250 เหรียญในปี 2022 แต่ราคานี้ก็ยังมีมูลค่ามากกว่าอัตรากำไรต่อหุ้นย้อนหลัง 12 เดือนถึง 33 เท่าตัว

    ส่วนยอดหนี้ขณะนี้อยู่ในระดับที่จัดการได้ที่ 6% ของมูลค่ากิจการเทียบกับช่วงหลัง IPO ที่หนี้คิดเป็นสัดส่วน 80% ของมูลค่าบริษัท (ปัจจุบัน Jagdfeld ถือหุ้นส่วนตัวคิดเป็นมูลค่า 150 ล้านเหรียญ ส่วน CCMP เทขายหุ้นทั้งหมดเพื่อทำกำไรไปเมื่อปี 2013) 

    แต่การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาเงินเฟ้อที่ทำให้ผู้บริโภคคิดหนักก่อนจะซื้อเครื่องปั่นไฟ ซึ่งแต่ละปีจะเปิดใช้งานแค่ไม่กี่ครั้งทำให้ Jagdfeld คาดว่าปริมาณคำสั่งซื้อคงค้างจะหดตัวลง เขาจึงต้องมีแผนสำรอง

    แทนที่จะขายผลิตภัณฑ์ซึ่ง “ผู้ซื้อหวังว่าจะไม่ต้องใช้” และจะหาซื้อก็ต่อเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าล่ม Jagdfeld ต้องการทำตลาดผลิตภัณฑ์ “พลังงานพึ่งตนเอง” ซึ่งประกอบเอาก๊าซพลังงานแสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งหมดจะควบคุมโดยระบบการเรียนรู้ของเครื่อง ซึ่งจะดูแลการทำความร้อนและความเย็นภายในบ้าน โดยมีเป้าหมายทำเงินให้ผู้บริโภคได้ด้วย “ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยคุณส่งออกพลังงาน” เขากล่าว “พลังงานของคุณจะถูกส่งไปใช้กับสิ่งต่างๆ ชนิดที่คุณจะนึกไม่ถึงเลยในปัจจุบัน”



เรื่่อง: Chris Helman 

เรียบเรียง: วินิจฐา จิตร์กรี ภาพ: Benedict Redgrove


อ่านเพิ่มเติม: เรตติ้ง “ออสการ์” ยังต่ำกว่ามาตรฐานแม้เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2022


คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ e-magazine