อนาคตสุดป่วนไม่มีใครคาดคิดว่า ChatGPT จะได้รับความนิยมภายในบริษัท “พวกเราไม่มีใครหลงใหลมัน” Greg Brockman กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ OpenAI กล่าว “พวกเรามีความคิดที่่ต่างกันและนี่่เป็นสิ่่งที่่เป็นประโยชน์มากกับบริษัทเรา”
ขณะที่่โลกกำลังอยู่ในกระแสของศักยภาพทางการเขียนอันน่าทึ่่งของ ChatGPT แต่สิ่งใหม่ๆ แห่งอนาคตก็กำลังก่อตัวขึ้้นท่ามกลางการเปลี่่ยนแปลงในยุคแห่งเครื่่องมือทางธุรกิจที่่ได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถสร้างการเปลี่่ยนแปลงได้เหมือนกับอินเทอร์เน็ต
ภายในห้องประชุมธรรมดาๆ ในสำนักงานของ OpenAl ที่ช่วยกันฝนกลางเดือนมกราคมที่กำลังกระหน่ำลงมาใน San Francisco กรรมการผู้จัดการใหญ่ Brockman กำลังสำรวจ "ระดับพลังงาน" ของทีมที่ดูแล ChatGPT ซึ่งเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ของบริษัท โดยถามขึ้นว่า "พวกเราเป็นไงบ้างระหว่าง โกลาหลสุดๆ และทุกคนหมดไฟ" กับทุกคนที่เพิ่งกลับจากวันหยุด และทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? สเปกตรัมคืออะไร?"
ผู้ช่วยคนหนึ่งตอบว่า "ผมว่าวันหยุดมาได้ถูกเวลาเลยแทละ" ซึ่งเป็นการพูดที่เบากว่าความเป็นจริง เพราะภายใน 5 วันหลังเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน ผู้ใช้ 1 ล้านคนถล่มเชิร์ฟเวอร์ด้วยคำถามจิ๊บจ้อย ไอเดียเขียนกลอน และคำขอสูตรอาหาร (Forbes ประเมินว่า ตอนนี้เกิน 5 ล้านแล้ว) OpenA! กำลังแอบโอนถ่ายสิ่งที่คนส่งเข้ามาบางส่วนไปยังซูเปอร์คอมพิวเตอร์เพื่อการฝึก มันประกอบด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่เชื่อมกันหลายพันหน่วยที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft และ Nvidia ในขณะที่งานระยะยาวอย่างการผลิตโมเดลรุ่นถัดไป GPT-4 ที่ทุกคนตั้งตารอกลายเป็นเรื่องรอง
ขณะที่ที่มงานสุมหัวกันอยู่เชิร์ฟเวอร์ของ ChatGPT ที่ความจุเต็มกำลังทำให้ผู้ใช้หนีหายไปเรื่อยๆ อย่างเมื่อวันก่อนระบบก็ล่มไป 2 ชั่วโมง แต่ถึงแม้จะเหนื่อยล้าแค่ไทนก็เห็นได้ว่าพนักงานทั้งหมดในท้องนี้ซึ่งอยู่ในวัย 20 และ 30 ต้นๆ ต่างสนุกสุดๆ กับบทบาทของพวกเขาในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ "AI จะกลายเป็นที่ถกเถียงกันในฐานะหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดของปี 2023 แล้วคุณรู้อะไรไหม? มันควรเป็นแบบนั้นแหละ" Bil Gates ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์คล้ายๆ กันก่อนหน้านี้ หรือที่เรารู้จักกันว่าชอฟต์แวร์กล่าว "สิ่งนี้สำคัญพอๆ กับพืซีทุกกระเบียดนิ้เหมือนกับอินเทอร์เน็ตด้วย"
ตลาดต่างๆ ก็คิดแบบนั้น OpenAI มีมูลค่าประเมินอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านเทรียญสหรัฐฯ หลังจากมีการรายงานว่า Microsoft สัญญาว่าจะให้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านเหรียญ OpenAI ซึ่งนำโดย Brockmanวัย 34 และเจ้านายของเขา Sam AItman ซีอีโอของ OpenAI วัย 37 กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ธรรมดา แต่ความสำเร็จไม่ได้มาเพียงลำพัง ในส่วนของธุรกิจวาดภาพด้วย AI Amazon เข้ามาหนุนหลัง Stability AI (มูลค่าล่าสุดคือ 1 พันล้านเหรียญ) อย่างเงียบๆ ซึ่ง Emad Mostaque ซีอีโอผู้หาญกล้าวัย 39 ปี ปรารถนาที่จะเป็นเหมือน Amazon Web Services ในตลาดนี้ Hugging Face (2 พันล้านเหรียญ) เป็นผู้จัดหาเครื่องมือให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel และ Meta เพื่อสร้างโมเตลที่ดีไม่แพ้กันไว้ใช้ด้วยตัวเองในบรรดาเทคโนโลยีที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้ รองลงไปจากผู้ให้บริการ Generative AI ก็มี Scale AI (7.3 พันล้านเหรียญ) และรายอื่นๆ ที่ ให้บริการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และเหนือขึ้นไปนั้นระบบนิเวศของแอปพลิเคชันกำลังพัฒนาและขับเคลื่อน AI ให้กลายเป็นชอฟต์แวร์เฉพาะทางที่สามารถปรับการใช้งานในระดับพื้นฐาน สำหรับนักกฎหมาย พนักงานขาย แพทย์ หรือทุกคนนั่นเองแล้วมันสร้างกระแสไหม? คำตอบคือ ท่วมทันเลยละ
มูลค่าประเมินของ OpenAI ตามรายงานซึ่งมีการคาดการณ์อย่างมั่นใจว่ารายได้ปี 2023 จะอยู่ที่ 200 ล้านเหรียญ (เทียบกับรายได้ที่คาดไว้ประมาณ 30 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว ซึ่งอิงจากเนื้อหาส่วนหนึ่งที่นักลงทุนนำเสนอก่อนหน้านี้ที่ Forbes ได้เข้าสังเกตการณ์) บอกเป็นนัยๆ ว่า ตัวคูณราคาต่อยอดขายล่วงหน้าน่าจะอยู่ที่ 145 เท่า ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ 10 เท่าหรือ 20 เท่า (OpenAI ปฏิเสธให้ความเห็นเรื่องตัวเลขทางการเงิน กล่าวแต่เพียงว่า การลงทุนจะใช้เวลาหลายปี และใช้เงินหลายพันล้านเหรียญ) นั่นมันก็ไม่สำคัญอะไรหรอกเพราะผู้ปฏิวัติ AI ไม่ใช่ผู้พลิกโฉมด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ทั้งนี้ Amazon, Google, Microsoft. Nvidia และรายอื่นๆ ก็ได้ประโยชน์จากการเข้ามาช่วยด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ซึ่งสำคัญมากต่อวงการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ซึ่งมีทรัพยากรมหาศาลและการวิจัยการเรียนรู้ของเครื่องที่สั่งสมมานับสิบปีก็เหมือนกับ "พี่ใหญ่ในวงการ" Mike Volpi นักลงทุนจาก Index Ventures กล่าว ความท้าทายทางสังคมล่ะ? ก็มีเหมือนกัน มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอคติและการเลือกปฏิบัติจากโมเดลที่ใช้ นี่ยังไม่รวมถึงการใช้ในทางที่ผิดโดยคนไม่ดีอีกนะ ข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ
จากการแย่งกันเป็นเจ้าของผลงานที่ AI สร้างขึ้น และข้อมูลจริงที่ใช้สอน AI แล้วก็ยังมีเป้าหมายสูงสุดที่บางคนฝันถึง เช่น ผู้นำของ OpenAI นั่นคือ "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" ที่มีความนึกคิดและพัฒนาตัวเองได้ และอาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของระบบทุนนิยม (ความหวังของ AItman) หรือคุกคามมนุษยชาติ (ความกลัวของคนอื่นๆ รวมถึง Elon Musk) แต่จากการพูดคุยกับนักวิจัย นักลงทุน และผู้ประกอบการกว่า 60 คน ในวงการนี้เห็นได้ชัดว่า การตื่นตัวด้าน AI นี้มีบางอย่างที่กระแสนิยมระยะหลังๆ ไม่มี นั่นคือกิจกรรมทางธุรกิจที่จริงจังซึ่งบางทีก็น่าเบื่อ การแข่งขันเพื่อใช้เครื่องมือต่างๆ ในกระบวนการทำงานของบริษัททั้งใหญ่และเล็กได้เปิดฉากขึ้นแล้ว ความต้องการชุดโค้ด (code snippet) ที่ใช้ A หรือที่เรียกว่า API พุ่งขึ้นเป็น 10 เท่าในปื 2022 โดยเพิ่มมากเป็นพิเศษในเดือนธันวาคมตามข้อมูลของบริษัท
พิพิธภัณฑ์ Dali ในเมือง St. Petersburg รัฐ Florida ใช้ DALL-E เพื่อช่วยให้ผู้เข้าชมจำลองภาพความฝันของพวกเขาขึ้นมา และเครื่องมือสร้างภาพที่คล้ายคลึงกันจากสตาร์ทอัพชื่อ Midjourney ได้สร้างความโกรธเคืองบนโลกออนไลน์เมื่อมันถูกใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศในงาน Colorado State Fair
"ผมว่านี่เหมือนช่วงที่เกิด Sputnik" Patrick Collison ซีอีโอของStripe และอดีตหัวหน้าของ Brockman กล่าว เขาบอกว่า กำลังรอให้มีเครื่องมือ AI ที่แปลวิดีโอ YouTube ขณะไลฟ์ได้ และจัดกลุ่มตามอีมที่จำแนกด้วย AI
ขณะที่ Stability กำลังเฟื่องฟู OpenAI ได้ตัดสินใจพัก ChatGPT ไปก่อนเพื่อมุ่งความสนใจไปที่ทางเลือกอื่นๆ ที่ใช้โดเมนเป็นหลัก โดยเก็บอินเทอร์เฟซไว้เพื่อการเปิดตัวในอนาคตที่ใหญ่กว่านี้ แต่พอเดือนพฤศจิกายนก็กลับลำ และในเดือนมกราคมเนื่องจากโรงเรียนรัฐใน New York City ถูกสั่งห้ามไม่ให้มี ChatGPT ในคอมพิวเตอร์และมีอาจารย์จาก Wharton ทดสอบโปรแกรมโดยให้ทำข้อสอบปลายภาค ซึ่งผลคือได้เกรด "B" บริษัทจึงเสนอรุ่นทดสอบที่เสียค่าบริการแก่ผู้ใข้บางราย "Stable Diffusion โยนระเบิดเข้าไปในสมการด้วยการทำให้ทุกอย่างเข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก" Pat Grady นักลงทุนใน Sequoia ผู้สนับสนุน OpenAI กล่าว "เป็นการจุดไฟให้กับ OpenAI และทำให้พวกเขาพุ่งเป้าในเชิงพาณิชย์มากขึ้น"
สิ่งนี้กลับเร่งให้เกิดความทะเยอทะยานเชิงพาณิชย์ทั่วทั้งอุตสาหกรรม Mostaque ให้พนักงานทั้งหมดของ Stability หยุดงานในวันหยุดต่างๆ ซึ่งตัวเขาเองก็นอนเป็นส่วนใหญ่ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะจากอาจารย์ใหญ่โรงเรียนขั้นนำในสทราชอาณาจักรที่โทรมาด้วยความตื่นตระหนกเรื่อง GPT เขาคิดว่าปี 2023 น่าจะเป็นปีที่เหนื่อยมากเพราะต้องสู้ยิบตากับ OpenA! รวมถึงเจ้าอื่นในวงการอย่าง Google และ Meta ด้วย และนี่คือข้อความจากเขาถึงทีม "พวกคุณทุกคนตายแน่ในปี 2023"
บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกยอมรับความท้าทายนี้แล้วที่ Google มีรายงานว่า สองผู้ก่อตั้งที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างSergey Bin และ Lamy Page ได้กลับไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อร่วม ภารกิจ “Code Red” ที่ประกาศโดยซีอีโอ Sundar Pichai เพื่อรับมือเรื่อง ChatGPT และแอปประเภทนี้ ส่วนที่ Microsoft ผู้ร่วมก่อตั้งที่เกษียณมานานอย่าง Gates บอกกับ Forbes ว่า ตอนนี้เขาใช้เวลาประมาณ 10% ประชุมกับทีมต่างๆ เกี่ยวกับแนวทางการสร้างผลิตภัณฑ์
Google น่าจะได้เปรียบในปี 2017 นักวิจัยของ Google ได้สร้างตัว "T" ใน GPT โดยเผยแพร่บทความเกี่ยวกับตัวพลิกโฉมที่ทำให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ใช้งานได้จริงมากขึ้นด้วยการวิเคราะห์บริบทของคำในประโยค Aidan Gomez หนึ่งในนักวิจัยจำได้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีนี้กับ Google Translate ก่อน จากนั้นจึงใช้กับ Search, Gmail และ Docs อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้กับงานหลังบ้าน หรือใช้สนับสนุนงานโมษณาที่สร้างยอดขายจำนวนมากผู้บริโภคจึงไม่รู้สึกว้าวอะไร "ผมกำลังรอให้โลกเริ่มหยิบสิ่งนี้ขึ้นมาต่อยอด แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น" Gomez ผู้เปิดตัว Cohere ของตัวเองเพื่อท้าชิงกับ OpenAI ในปี 2019 กล่าว "ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย"
จากนักวิจัย 8 คนในบทความนี้ 6 คนออกจาก Google เพื่อไปก่อตั้งบริษัทของตนเอง ส่วนอีกคนโผไปหา OpenAI ในทางกลับกัน Microsoft ดูพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในปี 2019 Brockman และทีมของเขาพบว่า พวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินค่าระบบประมวลผลขนาดใหญ่ที่ GPT ต้องใช้ด้วยเงินที่พวกเขาระดมทุนมาในฐานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งรวมถึงเงินจาก Peter Thiel และ Musk ดังนั้น OpenAI จึงรีบตั้งองค์กรที่แสวงหากำไรเพื่อให้หุ้นแก่พนักงานและเปิดรับผู้สนับสนุนแบบเดิม และ Altman ก็กลับมาทำงนเต็มเวลา Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft สัญญาว่า จะให้ 1 พันล้านเหรียญแก่ OpenAI ในตอนนั้นและรับประกันฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่โตขึ้นเรื่อยๆ ในบริการคลาวด์ Microsoft Azure ของตน
ตอนนี้เงินลงทุนของ Microsoft 1 หมื่นล้านเหรียญจะเอาไปลงกับ ChatGPT ที่ใช้กับชุดชอฟต์แวร์ Office ของ Microsoft นักวิเคราะห์ Rishi Jaluria ของ RBC Capital Markets ซึ่งติดตามข่าว Microsoft กำลังจินตนาการถึงโลกที่มี "ตัวเปลี่ยนเกม" ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งพนักงานสามารถแปลงเอกสาร Word ให้เป็นงาน PowerPoint อันสวยงามด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว Pegah Ebrahimi ผู้ร่วมก่อตั้ง FPV Ventures และอดีตซีไอโอของ หน่วยวาณิชธนกิจของ Morgan Stanley เล่าว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่องค์กรขนาดใหญ่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบิ๊กดาต้าคือ พวกเขาจะเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมากให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างไร ตอนนี้พนักงานพากันถามว่า พวกเขาจะใช้เครื่องมือ AI วิเคราะห์บัญชีรายชื่อวิดีโอ หรือฝังแชทบอทลงในผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างไร "หลายคนลองใช้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาและได้ข้อสรุปว่าใช่ มันน่าสนใจจริงๆ และมีอยู่หลายจุดที่เราใช้มันได้" เธอบอกการถกเถียงครั้งใหญ่เกี่ยวกับยุคใหม่ของ AI นี้ว่าด้วยตัวย่ออีกอัน
"AGI" หรือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป มันคือระบบที่มีความนึกคิดและสอนตัวเองได้ ซึ่งในทางทฤษฎีมันอาจอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ได้ ผู้บริหารของ OpenAI กล่าวว่า การช่วยพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างปลอดภัยยังคงเป็นภารกิจหลัก ส่วน Brockman บอกว่า "คำถามที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าจะสร้างความก้าวหน้าทางเทคนิคได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องของคุณค่าที่อยู่ในนั้น" ส่วน Mostaque แห่ง Stability เยาะว่าวัตถุประสงค์ที่ว่าเป็นการหลงทาง "ผมไม่สนเรื่อง AGI...หากคุณอยากทำ AGI ก็ไปทำงานกับ OpenAI ได้เลย แต่ถ้าอยากได้ของที่ออกสู่สายตาผู้คน คุณมาหาเรา"
ผู้สนับสนุน OpenAI เช่น Reid Hoffmanเศรษฐีพันล้านผู้บริจาคให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรผ่านมูลนิธิการกุศลของเขาบอกว่าการสร้าง AGI ได้ก็เป็นเหมือนโบนัส แต่ไม่ใช่ข้อบังคับในการสร้างประโยชน์ให้กับโลก ส่วนตัว AItman เองก็ยอมรับว่าเขาได้ "ขบคิดอย่างหนัก" ว่าเราจะรู้ไหมว่ามันคือ AGI เมื่อมันมีจริงขึ้นมา ณ ปัจจุบันเขาเชื่อว่า "จะไม่ได้มีการแบ่งช่วงเวลาอย่างชัดเจน แต่จะเป็นการเปลี่ยนผ่านแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า" แต่นักวิจัยเตือนว่า ตอนนี้จำเป็นต้องมีการถกกันถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากโมเดล AI เพราะเมื่อเปิดตัวไปแล้วจะเรียกคืนไม่ได้ Aviv Ovadya นักวิจัยจาก Harvard's Center for Internet and Society กล่าวว่า "มันเหมือนกับสายพันธุ์ที่รุกราน "เราจะต้องกำหนดนโยบายให้ไว่เท่าเทคโนโลยี"
ในระยะเวลาอันใกล้โมเดลเหล่านี้และบริษัทใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเผชิญกับคำถามเร่งด่วนเกี่ยวกับจริยธรรมในการสร้างสรรค์งาน OpenAI และผู้เล่นอื่นๆ ใช้ชอฟต์แวร์/บริการของบุคคลที่ 3 เพื่อติดฉลากข้อมูลบางส่วนและฝึกโมเดล AI ของตัวเองให้รู้ว่าทำอะไรแล้วจะถือว่าล้ำเส้นผิดจริยธรรม) โดยยอมเสียอำนาจควบคุมครีเอเตอร์ของตนบางส่วน จากการตรวจสอบคำบรรยายลักษณะงานหลายร้อยรายการเมื่อเร็วๆ นี้ที่ใช้ ChatGPT เขียน Kieran Snyder ซีอีโอของบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ Textio พบว่า ยิ่งป้อนข้อมูลทันด่วนอย่างจำเพาะเจาะจงมากเท่าไร ผลลัพธ์จาก AI ก็ยิ่งน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น และอาจมีความเอนเอียงมากขึ้นด้วยแนวป้องกันของ OpenAI รู้จักปิดกั้นคำที่เหยียดเพศหรือเหยียดผิวอย่างขัดเจน แต่คำที่แสดงการเลือกปฏิบัติจากอายุ ความพิการ หรือศาสนากลับหลุดรอดไป "มันยากที่จะเขียนกฎสำหรับตรวจสอบข้อความที่สามารถกรองคำจากคนที่มีอคติซึ่งมีหลายรูปแบบ" เธอกล่าว
กฎหมายลิขสิทธิ์ก็เป็นอีกสมรภูมิหนึ่ง Microsoft และ OpenAI ตกเป็นจำเลยในคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่กล่าวทาว่า พวกเขา "โจรกรรม" โค้ดของโปรแกรมเมอร์ (ทั้งสองบริษัทเพิ่งยื่นคำร้องขอยกฟ้องและปฏิเสธให้ความเห็นเพิ่มเดิม) เมื่อไม่นานมานี้ Stability ถูกฟ้อง โดย Getty Images ซึ่งอ้างว่า Stable Diffusion ถูกฝึกอย่างผิดกฎหมายด้วยภาพถ่ายที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทหลายล้านภาพ โดยโมษกของบริษัทกล่าวว่า ยังอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบเอกสาร
แต่ที่อันตรายยิ่งกว่าคือ ผู้ที่จงใจใช้ AI ในการช่วยการสร้างใหม่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เช่น วิดีโอการจลาจลรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงแต่ดูเหมือนจริงมาก "ข้อมูลที่เขื่อถือได้เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของประชาธิปไตย" Fei-Fei Li ผู้อำนวยการร่วมของ Institute for Human-Centered Artificial Intelligence ประจำ Stanford กล่าว "ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างมาก"
ใครจะเป็นผู้ตอบคำถามดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าตลาด AI ที่เดิบโตอย่างรวดเร็วเป็นไปในทิศทางใด "ในช่วงปี 1990 เรามี AltaVista, Infoseek และบริษัทอีกราว 10 แห่งที่คล้าย ๆ กัน ตอนนั้นคุณมั่นใจมากว่าบางบริษัทหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งจะไปถึงดวงจันทร์" Eric Vishria หุ้นส่วนใน Benchmark กล่าว "แต่ตอนนี้หายกันไปหมดแล้ว"
การลงทุนของ Microsoft ใน OpenAI มาพร้อมกับข้อตกลงแบ่งกำไรส่วนใหญ่จนกว่าจะคืนทุนบวกกับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มเติมไม่เกินที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงคำมั่นสัญญาที่จะให้ OpenAI กลับไปมีการควบคุมโดยไม่แสวงหากำไร (Altman และ Brockman เรียกมันว่า "การแทรกแซงเพื่อความปลอดภัย" และ "เบรกเกอร์อัตโนมัติ" เพื่อป้องกัน OpenAI ไม่ให้รวบอำนาจ เมื่อมีขนาดใหญ่เกินไป) ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมบางรายมองว่าข้อตกลงเกือบจะเหมือนการเข้าซื้อ หรืออย่างน้อยก็การเข่า ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ Nadella มากที่สุด AItman พูดถึงข้อตกลงที่ว่าแบบนี้ "ทุกครั้งที่เราบอกพวกเขาว่า “คือว่า...เราต้องทำอะไรแปลกๆที่อาจทำให้คุณเกลียดเรา” ซึ่งพวกเขาก็จะบอกว่า “เยี่ยมไปเลย” (Microsoft ปฏิเสธที่จะหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขในข้อตกลง) ยังมีอีกมุมซึ้งถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยในข้อตกลงนี้ นั่นคือ OpenAI สามารถเข้าถึงที่เก็บข้อมูลใหม่จำนวนมหาศาลจากชุดโปรแกรม Office ของ Microsoft ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากโมเดล AI สามารถ ขุดค้นเอกสารที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้หมด แน่นอนว่า Google มีขุมทรัพย์ดังกล่าวอยู่แล้ว แผนก A! ขนาดมหึมาของที่นี่ทำเรื่องนี้มาหลายปี ส่วนใหญ่ก็เพื้อปกป้องธุรกิจของตน ทั้งนี้คาดว่าจะมีการเปิดตัว AI อีกหลายตัวก่อนกำหนดการเดิมในปี 2023
ณ Stability ที่นี่ Mostaque ใข้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการสร้างความเข้าใจว่าธุรกิจของเขาเน้นไปที่อุตสาหกรรมการสรรสร้างเช่นเดียวกับ Disney และ Netflix และที่สำคัญคือ หลีกทาง ให้ Google "พวกเขามี GPU มากกว่าคุณ พวกเขามีคนเก่งเยอะกว่าคุณ พวกเขามีข้อมูลมากกว่าคุณ" เขากล่าว แต่ Mostaque เองก็ทำข้อตกลงแบบขายวิญญาณกับ Amazon การเป็นหุ้นส่วนกับ stability ทำให้ผู้นำด้านคลาวด์รายนี้ช่วยส่งชิป AI ของ Nvidia กว่า 4.000 ตัวให้ Stability เอาไปประกอบเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Mostaque บอกว่า ปีที่แล้ว Stability มี GPU ที่ว่าแค่ 32 ตัว
"พวกเขายื่นข้อตกลงที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อให้กับเรา" เขาบอก ข้อดีก็คือ การผนึกกำลังทำให้เกิดแหล่งรายได้ที่ชัดเจนจากการประมวลผลบนระบบคลาวด์ที่ทำงานบน Amazon Web services และสามารถสร้างเนื้อหาให้ธุรกิจบันเทิงของ Studios ได้ แต่ยิ่งไปกว่านั้นการลงมาเล่นของ Amazon ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบอย่าลืมว่า Apple และ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ก็มีฝ่าย AI ขนาดใหญ่ด้วย Apple เพิ่งปล่อยอัปเดตที่รวม Stable Diffusion เข้ากับระบบปฏิบัติการล่าสุดโดยตรง ส่วนที่ Meta หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ AI อย่าง Yann LeCun กำลังบ่นกับนักข่าวและบน Twitter เกี่ยวกับกระแส ChatGPT แล้วก็ยังมีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่ต้องการต่อยอดและต่อกรกับ OpenAI. Stability และบริษัทกลุ่มนี้ Clem Delangue ซีอีโอวัย 34 ปี ของ Hugging Face ซึ่งเป็นโฮสต์ของโมเดลแบบโอเพนซอร์ส Stable Diffusion กำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่คล้าย Rebel Alliance เป็นระบบนิเวศ A! ที่หลากหลายและไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเทคเจ้าใหญ่ใดๆ Delangue ให้เหตุผลว่าต้นทุนของโมเดลดังกล่าวขาดความโปร่งใสและจะต้องพึ่งพาเงินสนับสนุนจากบริษัทเทคเจ้าใหญ่เพื่อให้ดำเนินกิจการต่อได้ "มันคือการฟอกเงินบนคลาวด์" เขากล่าว
สตาร์ทอัพที่ยังอยู่ก็กำลังตะเกียกตะกายเพื่อให้อยู่เหนือคลื่น เช่น Jasper บริษัทก็อปปี้ไรเตอร์ที่ใช้ AI ซึ่งสร้างเครื่องมือต่อยอดจาก GPT และทำรายได้ประมาณ 75 ล้านเทรียญในปีที่แล้ว ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่เป็นผู้ใช้รายบุคคล ซึ่งบางคนเคยจ่าย 100 เหรียญหรือมากกว่านั้นต่อเดือนสำหรับฟีเจอร์ที่ตอนนี้ส่วนหนึ่งใช้ ChatGPT สร้าง ส่วนแอป OpenAI ที่เป็นเจ้าของในสิ่งที่คิดค้นขึ้นตามแผนที่วางไว้ แต่ยังไม่มีออกมา Dave Rogenmoser ซีอีโอบอกว่า "ของพวกนี้สร้างตามได้เร็วมากเพราะว่าไม่มีใครได้เปรียบใคร"
สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับ OpenAI รางวัลใหญ่ที่สุดและเป้าหมายใหญ่ที่สุดในกลุ่มด้วยเช่นกัน ในเดือนมกราคมสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งโดยกลุ่มอดีตนักวิจัยของ OpenAI ชื่อ Anthropic (ล่าสุดได้รับการสนับสนุนจาก Sam Bankman-Fried จาก FIX บริษัทที่ล้มละลาย) ได้เปิดตัวแชทบอทของตัวเองชื่อ Claude โดย Alexandr Wang ซีอีโอของ Scale A! ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานของทั้งคู่กล่าวว่า บอทนี้ทำงานได้ดีพอๆ กับ ChatGPT ในหลายๆ ด้านแม้ว่าจะถูกพัฒนาด้วยต้นทุนเพียงน้อยนิดก็ตาม "มัน (ทำให้เกิด) คำถามว่าแล้วอะไรล่ะที่จะกันคู่แข่งได้? ผมว่ายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนะ"
ณ OpenAI Brockman ชี้ไปที่วรรคหนึ่งในกฎบัตรที่ว่าด้วยการไม่แสวงหากำไรของบริษัทซึ่งสัญญาว่า หากบริษัทอื่นใกล้จะสร้าง AI ทั่วไปสำเร็จให้หยุดงานของ OpenAI แล้วเอาไปรวมกับโครงการที่แข่งกันอยู่ "ผมไม่เคยเห็นใครทำแบบนั้นเลย" เขากล่าว Allman เองก็ดูไม่กังวลกับข้อมูลของคู่แข่งสักเท่าไร แล้ว ChatGPT จะเอาชนะ Google search ได้หรือไม่ "ผู้คนกำลังพลาดโอกาสไปอย่างจังถ้าสนใจแต่ข่าวของคุณเมื่อวันก่อน" เขารำพึง "ผมสนใจจะคิดเรื่องในอนาคตมากกว่า"
อ่านเพืามเติม : ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ได้รับการรับรองให้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน